แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 61
1
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: เบาจืด (Diabetes insipidus/DI)

เบาจืด เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถเก็บรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย ทำให้มีอาการถ่ายปัสสาวะออกบ่อยและมาก และกระหายน้ำมากคล้ายโรคเบาหวาน แต่ไม่มีภาวะน้ำตาลในเลือดและปัสสาวะสูงอย่างที่พบในโรคเบาหวาน ผู้ป่วยเบาจืดจะมีอาการกระหายน้ำตลอดเวลา และปัสสาวะออกมากซึ่งมีลักษณะเจือจาง ไม่มีสีและไม่มีกลิ่น

โรคนี้พบได้น้อยมาก (พบประมาณ 3 คนต่อประชากร 100,00 คน) ส่วนใหญ่พบในผู้ใหญ่ แต่ก็อาจพบในเด็กได้

สาเหตุ

โรคนี้มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนต้านการขับปัสสาวะที่มีชื่อว่า เอดีเอช (ADH ซึ่งย่อมาจาก antidiuretic hormone) หรือมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เวโซเพรสซิน (vasopressin) ได้น้อยกว่าปกติ ฮอร์โมนนี้สร้างที่สมองส่วนที่เรียกว่า "ไฮโพทาลามัส" และเก็บไว้ที่ต่อมใต้สมอง มีฤทธิ์ยับยั้งไม่ให้ไตขับปัสสาวะออกมากกว่าปกติ ช่วยรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย กล่าวคือ เมื่อร่างกายขาดน้ำหรือกระหายน้ำ ก็จะมีการสร้างเอดีเอชออกมามาก ทำให้ไตลดการขับปัสสาวะ แต่ถ้ามีการดื่มน้ำในปริมาณมาก ร่างกายก็จะสร้างเอดีเอชออกมาน้อย ทำให้ไตขับปัสสาวะออกมามาก

โรคนี้มีสาเหตุหลัก ๆ ดังนี้

    สาเหตุที่พบได้บ่อยสุด คือ เกิดจากร่างกายขาดเอดีเอช (ADH) เนื่องจากสมองสร้างฮอร์โมนนี้ได้น้อยกว่าปกติ ทำให้ไตมีการขับปัสสาวะออกมากกว่าปกติ ทั้งนี้อาจเป็นผลมาจากความผิดปกติในสมอง (เช่น การผ่าตัดบริเวณใกล้ต่อมใต้สมอง การได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ เนื้องอกในบริเวณใกล้ต่อมใต้สมอง สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น) ถ้าพบในเด็กอาจเกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์

พบว่าประมาณร้อยละ 30 ของผู้ป่วยที่ร่างกายขาดเอดีเอช เกิดจากปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง (ออโตอิมมูน) ทำให้ไฮโพทาลามัสสร้างเอดีเอชได้น้อยลง โดยไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน

    ความผิดปกติของไตที่ไม่ตอบสนองต่อฤทธิ์ของฮอร์โมนเอดีเอช ทั้ง ๆ ที่ไฮโพทาลามัสสร้างฮอร์โมนชนิดนี้ได้เพียงพอ ทำให้มีการขับปัสสาวะออกมากกว่าปกติ อาจเกิดจากโรคไตเรื้อรัง (เช่น กรวยไตอักเสบเรื้อรัง ภาวะไตวายเรื้อรัง โรคถุงน้ำไตชนิดหลายถุงหรือ polycytic kidney) ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำหรือภาวะแคลเซียมในเลือดสูง (ซึ่งทั้ง 2 ภาวะนี้ทำให้ไตทำงานได้ไม่ปกติ) 

บางรายอาจเกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ 

บางรายเกิดจากการใช้ยา ที่พบบ่อย คือ ลิเทียม (lithium ซึ่งใช้รักษาโรคอารมณ์สองขั้ว) นอกจากนี้อาจเกิดจากยาอื่น ๆ อาทิ ยารักษาลมชัก (เช่น เฟนิโทอิน) ยาลดน้ำหนัก (เช่น orlistat ) ยาปฏิชีวนะ (เช่น เมทิซิลลิน โอฟล็อกซาซิน) ยาต้านไวรัส (เช่น  cidofovir, foscavir) เป็นต้น

    ภาวะตั้งครรภ์ อาจทำให้รกมีการสร้างเอนไซม์ (ชื่อ vasopressinase) ซี่งไปทำให้ฮอร์โมนเอดีเอช (เวโซเพรสซิน) ของหญิงตั้งครรภ์ลดลง ทำให้เกิดอาการเบาจืดได้ ภาวะนี้พบได้น้อยมาก มักเกิดอาการในไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ และมักหายได้เองหลังคลอด

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะออกบ่อยและมาก กระหายน้ำและดื่มน้ำมาก ชอบดื่มน้ำเย็นมากเป็นพิเศษ ปากมักจะแห้งอยู่เสมอ จะมีอาการกระหายน้ำอยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน แม้นอนหลับตอนกลางคืนก็มักจะลุกขึ้นมาปัสสาวะและดื่มน้ำคืนละหลายครั้ง บางครั้งมีอาการปัสสาวะรดที่นอน ผู้ป่วยมักถ่ายปัสสาวะวันละเกิน 5 ลิตร (ถ้าเป็นรุนแรงอาจมากถึงวันละ 20 ลิตร) ปัสสาวะมักจะไม่มีกลิ่น ไม่มีสี

ผู้ป่วยอาจมีอาการอ่อนเพลีย เมื่อยล้า ง่วงซึม ปวดกล้ามเนื้อ ในรายที่มีสาเหตุจากเนื้องอกสมองอาจมีอาการปวดศีรษะเรื้อรังร่วมด้วย

ในทารกและเด็กเล็ก มักมีอาการผ้าอ้อมเปียกชุ่มบ่อย ปัสสาวะรดที่นอน หงุดหงิด งอแง นอนไม่หลับ มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร อาเจียน ท้องผูก น้ำหนักลด การเจริญเติบโตช้า

ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าดื่มน้ำได้ไม่เพียงพออาจเกิดภาวะขาดน้ำรุนแรง (ทำให้มีอาการตาลึกโบ๋ ปากแห้ง ผิวหนังเสียความยืดหยุ่น ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ำ มีไข้ น้ำหนักลด เวียนศีรษะ หน้ามืด สับสน กระสับกระส่าย) และภาวะเสียสมดุลของเกลือแร่ (ทำให้มีอาการอ่อนเพลีย ซึม สับสน คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นตะคริว)


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจปัสสาวะ จะพบว่ามีความถ่วงจำเพาะต่ำ (< 1.005) ตรวจเลือด (พบระดับฮอร์โมนเอดีเอชต่ำ, ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ, อาจพบระดับแคลเซียมในเลือดสูง หรือระดับโพแทสเซียมในเลือดต่ำ) และทำการตรวจพิเศษ เช่น การทดสอบด้วยการอดน้ำ (water deprivation test)* การทดสอบด้วยเวโซเพรสซิน (vasopressin test)**

ในรายที่สงสัยมีสาเหตุเกี่ยวกับสมอง จะทำการการถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์

*โดยให้ผู้ป่วยอดน้ำหลายชั่วโมง แล้วทำการตรวจวัด osmolarity ของเลือดและปัสสาวะ รวมทั้งปริมาณและความถ่วงจำเพาะของปัสสาวะเป็นช่วง ๆ ถ้าพบว่าผลการตรวจมีการเปลี่ยนแปลงสู่ระดับปกติ ก็แสดงว่าไม่เป็นเบาจืด แต่ถ้าผลการตรวจยังผิดปกติเหมือนเดิม ก็แสดงว่าเป็นเบาจืด

**ทำหลังทดสอบด้วยการอดน้ำแล้วพบว่าเป็นเบาจืด โดยการฉีดเวโซเพรสซินขนาดเล็กน้อยให้ผู้ป่วย และทำการตรวจวัดแบบเดียวกับการทดสอบด้วยการอดน้ำ ถ้าพบว่าผลการตรวจเปลี่ยนเป็นปกติ แสดงว่ามีสาเหตุจากความผิดปกติในสมองซึ่งสร้างฮอร์โมนเอดีเอช (เวโซเพรสซิน) ได้น้อย แต่ถ้าผลการตรวจยังผิดปกติเหมือนเดิม ก็แสดงว่ามีสาเหตุจากความผิดปกติของไตที่ไม่ตอบสนองต่อฮอร์โมนนี้


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาตามสาเหตุ ดังนี้

    ถ้าเกิดจากร่างกายขาดเอดีเอช เนื่องจากสมองสร้างฮอร์โมนนี้ได้น้อยกว่าปกติ สำหรับในรายที่เป็นไม่รุนแรง (ปัสสาวะวันละประมาณ 3-4 ลิตร) แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2.5 ลิตร เพื่อทดแทนน้ำให้เพียงพอ ไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ

ส่วนในรายที่เป็นรุนแรง แพทย์จะรักษาด้วยยาเอดีเอช (เวโซเพรสซิน) สังเคราะห์ เช่น เดสโมเพรสซิน (desmopressin) ซึ่งมีทั้งยาเม็ด ยาฉีด และยาพ่นจมูก

    ถ้าเกิดจากความผิดปกติของไตที่ไม่ตอบสนองต่อฤทธิ์ของฮอร์โมนเอดีเอช แพทย์จะแนะนำให้ลดปริมาณเกลือโซเดียมที่บริโภค หยุดยา (ถ้าพบว่าเป็นสาเหตุ) ถ้าจำเป็นแพทย์จะให้กินยาเม็ดไฮโดรคลอโรไทอาไซด์ (hydrochlorothiazide ซึ่งแม้ว่าจะเป็นยาขับปัสสาวะ แต่มีฤทธิ์ช่วยลดปริมาณปัสสาวะในผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้) อาจให้ยาชนิดนี้เดี่ยว ๆ หรือใช้ร่วมกับยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น ไอบูโพรเฟน, นาโพรซิน เป็นต้น (ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างพรอสตาแกลนดิน ซึ่งเป็นสารที่ต้านฤทธิ์ของฮอร์โมนเอดีเอช)
    ถ้าเกิดจากภาวะตั้งครรภ์ แพทย์จะให้เดสโมเพรสซิน (desmopressin)

ผลการรักษา เมื่อได้รับการรักษา อาการมักจะทุเลาได้ดีและสามารถดำเนินชีวิตได้เป็นปกติ ส่วนจะต้องรักษานานเพียงใดย่อมขึ้นกับสาเหตุที่พบ บางรายอาจใช้เวลาไม่นานและหายขาดได้ แต่บางรายอาจต้องใช้ยารักษาไปจนตลอดชีวิต


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปัสสาวะมากและบ่อย กระหายน้ำและดื่มน้ำบ่อย เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคเบาจืด ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ควรพกน้ำดื่มติดตัวไว้ตลอดเวลา และดื่มน้ำให้พอเพียง ระวังอย่าให้ขาดน้ำ
    ควรพกสมุดหรือบัตรประจำตัวที่ระบุถึงโรคที่เป็นและยาที่ใช้รักษา หากระหว่างเดินทางไปไหนมาไหนเกิดอาการฉุกเฉินรุนแรง แพทย์จะได้ให้การช่วยเหลือที่ถูกต้องและทันการณ์


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการอ่อนเพลีย ใจหวิวใจสั่น วิงเวียน หน้ามืด กระหายน้ำมาก ปากแห้ง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ปวดกล้ามเนื้อ หรือเป็นตะคริว   
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ยาหายหรือขาดยา หรือมีอาการสงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา

การป้องกัน

เนื่องจากโรคนี้มีสาเหตุส่วนใหญ่ที่ไม่อาจป้องกันได้ รวมทั้งมีบางส่วนที่ไม่ทราบสาเหตุ จึงยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผลเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นในรายที่เกิดจากสาเหตุที่ป้องกันได้ เช่น ไตวายเรื้อรัง กรวยไตอักเสบเรื้อรัง สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น ก็ควรหาทางป้องกันโรคเหล่านี้

ควรหาทางป้องกันไม่ให้เกิดภาวะขาดน้ำด้วยการดูแลตนเองและติดตามรักษากับแพทย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง

ข้อแนะนำ

1. อาการปัสสาวะบ่อยและกระหายน้ำบ่อย มักมีสาเหตุมาจากโรคเบาหวานเป็นส่วนใหญ่ ส่วนน้อยมากที่มีสาเหตุจากโรคเบาจืด การแยกโรคทั้ง 2 นี้ในเบื้องต้นสามารถกระทำโดยการตรวจปัสสาวะ ซึ่งจะพบลักษณะจำเพาะของแต่ละโรค กล่าวคือ เบาหวานจะพบระดับน้ำตาลในปัสสาวะ (ตรวจเลือดจะพบระดับน้ำตาลในเลือดสูง) ส่วนเบาจืดจะตรวจไม่พบน้ำตาลในปัสสาวะ และปัสสาวะจะมีความถ่วงจำเพาะระหว่าง 1.001-1.005 (คนปกติทั่วไปจะมีความถ่วงจำเพาะมากกว่า 1.015)

2. ผู้ที่เป็นโรคทางจิต เช่น จิตเภท (schizophrenia) หรือผู้ที่มีความผิดปกติของกลไกควบคุมการกระหายน้ำ (thirst-regulating mechanism) ในสมองส่วนไฮโพทาลามัส ก็อาจทำให้มีอาการดื่มน้ำมากผิดปกติ เกิดอาการปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย และปัสสาวะมีความถ่วงจำเพาะต่ำคล้ายโรคเบาจืดได้

2
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)

สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


3
ไหว้พระ 10 วัดสวย ภาคตะวันออก ทำบุญ เสริมดวง

อย่างที่เรารู้กันดีว่าที่เที่ยวทาง ภาคตะวันออก นั้นมักจะเป็นที่เที่ยวทะเลเป็นส่วนใหญ่ แต่ๆ อยากให้ลองมาเยือน วัดสวย ในภาคนี้กันบ้าง เพราะมีเยอะแยะ งดงามมากมายเต็มไปหมด งั้นไปดู 10 วัดสวย ภาคตะวันออก ไหว้พระ เสริมดวง กันเลยดีกว่าค่า

พิกัด วัดสวย ภาคตะวันออก ที่เที่ยวไหว้พระ ใกล้กรุงเทพ

1. วัดแสนสุขสุทธิวราราม ชลบุรี

     วัดแสนสุขสุทธิวราราม หรือ วัดแสนสุข หรือ วัดหลวงพ่อท้วม อีกด้วย เป็นวัดเก่าแก่ ก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ.2499 โดยเป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ได้รวบรวมความเชื่อต่างๆ ในพระพุทธศาสนาเอาไว้นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็น สวนพุทธ เมืองสวรรค์ และแดนนรก มีประติมากรรมทางธรรมะ ให้ชาวพุทธศาสนิกชนทั้งหลายได้มาชมกัน และยังเป็นคติธรรมสอนใจอีกด้วยค่ะ อีกทั้งภายในวัดยังมี มหาเจดีย์เกตุแก้ว วัดแสนสุข ซึ่งมีความงดงามมากๆ ด้วย ด้านนอกมีรูปปั้นพญานาคที่สวยงาม ภายในเจดีย์ประดิษฐาน พระบรมธาตุ พระธาตุ อัญญมณีธาตุ ให้ได้มากราบไหว้ เพื่อความเป็นสิริมงคลกันค่ะ

    ที่อยู่ : ตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-18.00 น.


2. วัดห้วยใหญ่ ชลบุรี

     วัดห้วยใหญ่ เป็นวัดสวยและวัดดังของ ชลบุรี นี่เองค่ะ และเป็นวัดที่มีเจ้าอาวาสเป็นเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่ง ภาคตะวันออก ก็คือ หลวงพ่อก้าน หรือ พระภัทธรกิจวิบูรณ์ นั่นเอง ทำให้วัดห้วยใหญ่นี้ มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมา และเป็นวัดที่ชาวชลบุรีให้ความศรัทธาอย่างมาก

      ภายในพระอุโบสถประดับประดาอย่างสวยงาม เพื่อระลึกถึงหลวงพ่อก้าน รวมถึงมีสังขารที่ไม่เน่าเปื่อยของหลวงพ่อก้านบรรจุอยู่ในโลงแก้ว เพื่อให้ประชาชนเข้ามากราบไหว้บูชาอีกด้วย และทางวัดเองยังมี พิธีสวดสะเดาะเคราะห์ บังสุกุลเป็น-ตาย เสริมดวงชะตา และรับน้ำพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล ตามความเชื่อ โดยพิธีนี้ได้สืบทอดมาเป็นยาวนานตั้งแต่สมัยหลวงพ่อก้าน ที่ไม่ว่าใครต่างก็ต้องเดินทางมาทำพิธีกันค่า

    ที่อยู่ : ตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-15.30 น.


3. วัดน้ำตกธรรมรส ระยอง

     มาเยือน วัดสวย ใน ระยอง กันบ้างดีกว่า ณ วัดน้ำตกธรรมรส ที่เป็นสถานที่ปฏิบัติกรรมฐานอันสงบเงียบ และเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเยี่ยมชมได้นั่นเองค่ะ ความโดดเด่นของวัดก็คือ โบสถ์สีชมพู ที่สวยงามนี้ อีกทั้งภายในวัดยังมีประติมากรรม รูปปั้นต่างๆ ทั้ง พระพุทธรูปปางพระเจ้าเปิดโลก พระโพธิสัตว์ หอระฆังปราบมาร รูปปั้นพระพุทธองค์ทรงโปรดองคุลีมาล รูปปั้นหลวงพ่อโต เป็นต้น

    ที่อยู่ : ตำบลป่ายุบใน อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-18.00 น.


4. วัดท่ามะกอก ระยอง

     วัดท่ามะกอก แห่งนี้ เป็นวัดที่สร้างขึ้นมาด้วยศิลปะอันงดงามแบบผสมผสาน ไฮไลท์ก็คือ อุโบสถเรือนารายณ์ทรงสุบรรณ ที่อยู่กลางวัดที่เป็นอุโบสถที่มีรูปทรงลักษณะเป็นเรือ และสวยงามด้วยลวดลายที่ทำขึ้นอย่างประณีตรอบๆ อุโบสถนั่นเองค่ะ ทำให้นี่เป็นอีกหนึ่งหนึ่งพิกัด วัดสวย ที่น่ามาแวะชม ถ่ายรูป และไหว้พระกันนั่นเองค่ะ

    ที่อยู่ : 24/7 หมู่ที่ 7 ท่ามะกอก ตำบลพังราด อำเภอแกลง จังหวัดระยอง
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-18.00 น.


5. วัดโสธรวรารามวรวิหาร ฉะเชิงเทรา

     วัดโสธรวรารามวรวิหาร หรือที่เรารู้จักกันในชื่อของ วัดหลวงพ่อโสธร เป็นวัดเก่าแก่ที่อยู่คู่บ้านคู่เมือง ฉะเชิงเทรา มาอย่างยาวนานเลยค่ะ สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธโสธร หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า หลวงพ่อโสธร นั่นเอง พระพุทธรูปปางสมาธิที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ โดยเป็นศิลปะฝีมือของช่างล้านช้าง เชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชนอย่างมาก

    ที่อยู่ : ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา
    เปิดให้เข้าชม : 07.00-16.30 น.


6. วัดปากน้ำโจ้โล้ ฉะเชิงเทรา

     วัดปากน้ำโจ้โล้ ค่ะ แห่งนี้ เคยเป็นสำนักสงฆ์ในช่วงสมัยอยุธยาตอนปลาย อีกทั้งพื้นที่บริเวณนี้ยังเป็นที่ตั้งทัพของพม่าด้วยค่ะ และมีการสร้างเจดีย์ขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ในสงครามอีกด้วย ความโดดเด่นของวัดที่เป็นไฮไลท์เลยก็คือ อุโบสถสีทอง หนึ่งเดียวในไทยนั่นเองค่ะ ส่วนของหลังคาจะประดับด้วยพญานาคและธรรมจักร มีความประณีตด้วยลวดลายต่างๆ ภายในอุโบสถประดิษฐาน องค์หลวงพ่อโต เป็นพระประธาน ซึ่งจำลองมาจากพระพุทธชินราช และด้านหน้าพระประธานมีรูป พระเจ้าตากสิน อยู่ด้วยเช่นกันค่ะ

    ที่อยู่ : ถนนวนะภูติ ตำบลปากน้ำ อำเภอบางคล้า จังหวัดฉะเชิงเทรา
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.


7. วัดปากน้ำแขมหนู จันทบุรี

     วัดปากน้ำแขมหนู วัดสวย จันทบุรี ความสวยงามของที่นี่ที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ โบสถ์เซรามิกสีน้ำเงิน สวยงาม โดยที่มาของโบสถ์สวยแห่งนี้ก็คือ เมื่อโบสถ์หลังเก่าเริ่มชำรุดทรุดโทรมมากขึ้น ด้วยเหตุที่เพราะวัดตั้งอยู่ติดกับทะเล เลยมีการรื้อสร้างโบสถ์ใหม่ขึ้นมา เลยมีการใช้เซรามิกมาเคลือบชั้นปูนป้องกันอีกชั้นหนึ่งนั่นเองค่ะ ทำให้เกิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันซีนสวยๆ แห่งนี้ขึ้นมาค่า

    ที่อยู่ : ตำบลตะกาดเง้า อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-16.00 น.


8. วัดชากใหญ่ จันทบุรี

     วัดชากใหญ่ ของ จันทบุรี แห่งนี้ ถือได้ว่าเป็นวัดมีความร่มรื่นอย่างมาก ภายในวัดก็จะเต็มไปด้วยประติมากรรมเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามากมาย ส่วนของประติมากรรมแต่ละชิ้นเอง ก็งดงามหาชมได้ยากมากๆ ไม่ว่าจะเป็น พระพุทธรูปปางไสยาสน์ พระพุทธรูปปางนาคปรก เป็นต้น บอกเลยว่าวัดนี้ไม่ควรพลาดมาเยือนจริงๆ ค่ะ

    ที่อยู่ : ถนนสาย 3149 หมู่ 11 ตำบลพลิ้ว อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-18.00 น.


9. วัดท่าโสม ตราด

     วัดท่าโสม เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ.2405 ซึ่งภายในวัดจะมีการประดิษฐาน พระพุทธรูปหยกขาว ทรงเครื่องจักรพรรดิ โดยจะเป็นพระพุทธรูปหยกขาวองค์ที่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเลยทีเดียวค่ะ ซึ่งหยกนั้นนำมาจากประเทศเมียนมา และยังเป็นพระประธานศักดิ์สิทธิ์ประจำจังหวัดตราดอีกด้วยค่ะ อีกทั้งยังมีภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนัง ที่บอกเล่าเรื่องราวของภาพพุทธประวัติอย่างสวยงามมากเช่นเดียวกันค่ะ

    ที่อยู่ : 58 หมู่ 1 ตำบลท่าโสม อำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-18.00 น.


10. วัดไผ่ล้อม ตราด

     วัดไผ่ล้อม สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2326 เป็นวัดที่มีความสำคัญของจังหวัดตราด ภายในวัดมี เจดีย์สามท่านเจ้าคุณ ซึ่งเป็นเจดีย์รูปทรงระฆังคว่ำ แปดเหลี่ยมสองชั้น ปิดทับด้วยกระเบื้องโมเสคจากประเทศอิตาลีทั้งองค์สวยงาม องค์เจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ตั้งอยู่ภายใน สวนพุทธธรรม จึงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้าน และนักท่องเที่ยวมากราบไหว้ สักการะ อีกทั้งยังเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรมอีกด้วยค่ะ

    ที่อยู่ : 236 ตำบลบางพระ อำเภอเมือง จังหวัดตราด
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.

4
หมอออนไลน์: กรวยไตอักเสบเรื้อรัง (Chronic pyelonephritis)

กรวยไตอักเสบเรื้อรัง หมายถึง ภาวะที่กรวยไตมีการติดเชื้ออักเสบกำเริบซ้ำซาก หรือเป็นต่อเนื่องไม่หาย ทำให้เนื้อไตเสื่อม เกิดพังผืดในเนื้อไต ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรังแทรกซ้อนตามมาในระยะยาวได้

โรคนี้พบในเด็กเล็กมากกว่าผู้ใหญ่ และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายราว 2 เท่า

ในทารกและเด็กเล็ก พบว่าเกิดจากภาวะปัสสาวะไหลย้อนกลับจากกระเพาะปัสสาวะขึ้นไปที่ท่อไตและกรวยไต (vesicoureteral reflux/VUR) เป็นสำคัญ ซึ่งมักมีประวัติว่ามีพ่อแม่หรือพี่น้องมีภาวะนี้ด้วย

สาเหตุ

กรวยไตอักเสบเรื้อรังมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซาก เนื่องจากมีความผิดปกติของโครงสร้างทางเดินปัสสาวะ

สาเหตุที่สำคัญและพบบ่อยในทารกและเด็กเล็ก ได้แก่ ภาวะปัสสาวะไหลย้อนกลับจากกระเพาะปัสสาวะขึ้นไปที่ท่อไตและไต (vesicoureteral reflux/VUR) เนื่องจากความผิดปกติของลิ้นกั้นระหว่างท่อไตกับกระเพาะปัสสาวะซึ่งมักเป็นมาแต่กำเนิด ทำให้นำเชื้อแบคทีเรียขึ้นไปทำให้กรวยไตติดเชื้ออักเสบ นอกจากนี้ภาวะปัสสาวะไหลย้อนกลับดังกล่าวยังทำให้เกิดการเพิ่มแรงดันในกรวยไต ซึ่งไปทำลายเนื้อเยื่อไตกลายเป็นพังผืด เสริมให้ไตเสื่อมอีกทางหนึ่ง

ในผู้ใหญ่มักเกิดจากการอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะเนื่องจากภาวะบางอย่าง (เช่น นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ต่อมลูกหมากโต) หรือกระเพาะปัสสาวะไม่ทำงาน เนื่องจากความผิดปกติของไขสันหลัง (เช่น ไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ โพรงกระดูกสันหลังแคบ รากประสาทถูกกดทับ)

อาการ

ในรายที่มีอาการแสดง อาจมีไข้ หนาวสั่น ปวดสีข้าง ปัสสาวะขัด ปัสสาวะขุ่น แบบเดียวกับกรวยไตอักเสบเฉียบพลัน หรืออาจมีไข้ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ซึม ซึ่งมักเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย

ผู้ป่วยส่วนหนึ่งอาจไม่มีอาการแสดงอะไรที่ชัดเจน ซึ่งบางครั้งอาจตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพด้วยสาเหตุอื่น เช่น ตรวจพบสารไข่ขาว (proteinuria) หรือเชื้อแบคทีเรียในปัสสาวะ (bacteriurea), พบมีเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะจำนวนมาก, ตรวจพบค่าครีอะตินีนในเลือดสูงกว่าปกติ หรือตรวจพบไตฝ่อจากการถ่ายภาพไต เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อน

    หากมีการกำเริบของกรวยไตอักเสบรุนแรง และไม่ได้รับการรักษา ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการลุกลามของเชื้อแบคทีเรีย เช่น ฝีในไตหรือรอบ ๆ ไต โลหิตเป็นพิษ เป็นต้น 
    ความดันโลหิตสูง (ซึ่งพบตั้งแต่ในวัยเด็ก)
    สำหรับเด็กเล็กที่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร อาจได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ และร่างกายเจริญเติบโตช้า
    ที่สำคัญคือ การอักเสบซ้ำซากและแรงดันที่เพิ่มขึ้นในกรวยไต ทำให้เนื้อเยื่อไตถูกทำลายลงทีละน้อย ไตกลายเป็นพังผืด ไตฝ่อและเสื่อมตัวลงอย่างช้า ๆ ถ้าเกิดที่ไตข้างเดียวก็จะไม่มีอาการ แต่ถ้าเกิดที่ไตทั้ง 2 ข้าง ก็จะเกิดภาวะไตวายเรื้อรัง (มีอาการบวม อ่อนเพลีย ซีด ความดันโลหิตสูง) ในระยะต่อมา (อาจนานเป็นปี ๆ หรือสิบ ๆ ปี) ก็จะกลายเป็นไตวายเรื้อรังระยะท้าย ซึ่งจำเป็นต้องรักษาด้วยการล้างไตหรือปลูกถ่ายไต


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

ในรายที่ไม่มีอาการที่ชัดเจน การตรวจร่างกายมักไม่พบความปกติชัดเจน นอกจากอาจพบความดันโลหิตสูง หรือภาวะซีด

ในรายที่มีอาการกำเริบ จะมีไข้ เคาะเจ็บที่สีข้าง ปัสสาวะขุ่น

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ (พบเม็ดเลือดขาวจำนวนมาก ทั้งชนิดเดี่ยวและชนิดเกาะเป็นแพ) เอกซเรย์ อัลตราซาวนด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การถ่ายถาพรังสีไตด้วยการฉีดสารทึบรังสี (intravenous pyelogram) การใช้กล้องส่องตรวจทางเดินปัสสาวะ  การเพาะเชื้อ และการตรวจพิเศษอื่น ๆ เพื่อค้นหาความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะและประเมินความรุนแรงของโรค

การรักษาโดยแพทย์

ขณะที่มีอาการของการติดเชื้อ (เช่น มีไข้ ปวดสีข้าง ปัสสาวะขุ่น) แพทย์จะให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ และติดตามดูอาการของผู้ป่วยติดต่อกันเป็นเวลานาน ด้วยการตรวจปัสสาวะและตรวจเลือดเป็นระยะ ๆ ดูว่ามีภาวะไตวายแทรกซ้อนหรือไม่

บางรายแพทย์อาจให้กินยาปฏิชีวนะติดต่อกันเป็นเวลานานเพื่อป้องกันไม่ให้โรคกำเริบ

ถ้าพบความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะหรือภาวะที่อุดกั้นทางเดินปัสสาวะ เช่น นิ่ว ต่อมลูกหมากโต ก็จะทำการผ่าตัดแก้ไข ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้กรวยไตอักเสบกำเริบได้

ในเด็กเล็กที่มีภาวะปัสสาวะไหลย้อนกลับ (VUR) ที่ไม่รุนแรง ก็อาจหายได้เองในเวลาต่อมา ส่วนเด็กที่มีภาวะนี้รุนแรง แพทย์ก็จะแก้ไขด้วยการผ่าตัด

นอกจากนี้ แพทย์จะทำการรักษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น เช่น ให้ยาลดความดันสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูง

ในรายที่เกิดภาวะไตวายเรื้อรังระยะท้าย แพทย์ก็จะให้การรักษาด้วยการล้างไตหรือปลูกถ่ายไต

ผลการรักษา ขึ้นกับสาเหตุ ความรุนแรง การเกิดความผิดปกติที่ไตข้างเดียวหรือ 2 ข้าง และการตอบสนองต่อการรักษา ถ้าได้รับการรักษาตั้งแต่แรก ส่วนใหญ่มักจะหายเป็นปกติได้ แต่ถ้าปล่อยไว้นาน ๆ (ไม่ได้เข้ารับการตรวจรักษา เพราะอาการไม่เด่นชัด) ได้รับการรักษาล่าช้าไปหรือไม่ต่อเนื่อง มีอาการอักเสบกำเริบรุนแรงบ่อย หรือไม่ได้รับการแก้ไขภาวะปัสสาวะไหลย้อนกลับ (VUR)/ภาวะอุดกั้นของทางเดินปัสสาวะ ก็อาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมา ที่สำคัญคือภาวะไตวายเรื้อรัง ซึ่งแม้ว่าส่วนใหญ่ภาวะไตเสื่อมจะเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ แต่ในที่สุดก็จะกลายเป็นไตวายเรื้อรังระยะท้ายได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้สูง หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดบริเวณสีข้าง ปัสสาวะขุ่น หรือเป็นกรวยไตอักเสบเฉียบพลันบ่อย ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นกรวยไตอักเสบเรื้อรัง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการของกรวยไตอักเสบเฉียบพลันกำเริบใหม่
    มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ซีด คลื่นไส้ อาเจียน ซึม ท้องเดิน หรือเท้าบวม
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. ป้องกันมิให้มีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ โดยการปฏิบัติตัว ดังนี้

    ดื่มน้ำมาก ๆ
    อย่าอั้นปัสสาวะเวลามีอาการปวดปัสสาวะ
    หลังถ่ายอุจจาระ ควรใช้กระดาษชำระเช็ดทำความสะอาดจากข้างหน้าไปข้างหลัง
    ควรดื่มน้ำ 1 แก้วก่อนร่วมเพศ และถ่ายปัสสาวะทันทีหลังร่วมเพศ

2. เมื่อเป็นกรวยไตอักเสบเฉียบพลัน ให้รีบรักษาแต่เนิ่นให้ได้ผล ติดตามตรวจกับแพทย์เพื่อเฝ้าตามดูการดำเนินของโรคอย่างต่อเนื่อง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ รวมทั้งในกรณีที่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะป้องกันระยะยาว ก็ทำตามอย่างเคร่งครัด

3. รักษาโรคที่เป็นปัจจัยเสริมให้เกิดโรคกรวยไตอักเสบ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เบาหวาน เอดส์ ต่อมลูกหมากโต นิ่วในทางเดินปัสสาวะ เนื้องอกในทางเดินปัสสาวะหรือในช่องท้อง เป็นต้น


ข้อแนะนำ

1. โรคกรวยไตอักเสบเรื้อรังที่พบในเด็กเล็ก ส่วนใหญ่เกิดจากภาวะปัสสาวะไหลย้อนกลับ (VUR) ซึ่งสามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้เป็นส่วนใหญ่ หากเด็กมีอาการกรวยไตอักเสบชัด ๆ (ไข้ ปวดสีข้าง และปัสสาวะขุ่น) หรือมีอาการไม่เด่นชัด (เช่น มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน หรือเบื่ออาหารโดยไม่ทราบสาเหตุ) ควรปรึกษาแพทย์ แพทย์จะทำการตรวจปัสสาวะและตรวจพิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติม เมื่อตรวจพบว่าเป็นกรวยไตอักเสบจากภาวะดังกล่าว ก็จะดูแลรักษาให้หายได้โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน

และเนื่องจากภาวะปัสสาวะไหลย้อนกลับ (VUR) สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม พี่น้องของผู้ที่เป็นโรคนี้ (ซึ่งมักไม่รู้ตัวเพราะไม่มีอาการ) ควรไปปรึกษาแพทย์ หากตรวจพบว่ามีภาวะดังกล่าว จะได้แก้ไขเพื่อป้องกันโรคกรวยไตอักเสบเรื้อรังและไตวายเรื้อรังในระยะยาว

2. บางครั้งอาจพบผู้ป่วยเป็นกรวยไตอักเสบเรื้อรังที่ดื้อต่อการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะหลายขนาน โดยยังตรวจพบเม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ แต่ตรวจไม่พบเชื้อ (จากวิธีเพาะเชื้อตามปกติ) ในกรณีนี้ควรนึกถึงสาเหตุจากวัณโรคไต ซึ่งจะต้องวินิจฉัยโดยการส่งปัสสาวะเพาะหาเชื้อวัณโรคโดยเฉพาะ และให้ยารักษาวัณโรคจึงจะได้ผล

5
ถ้าเด็กไม่ชินกับเครื่องมือจัดฟันเด็ก EF LINE ควรทำอย่างไร

การรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เด็กควรที่จะแปรงฟันให้ถูกวิธีและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะใส่ใจในเรื่องของโภชนาการของเด็กด้วย เพื่อที่ให้เด็กได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาสุขภาพตามมา นอกจากนี้ พฤติกรรมที่มีความผิดปกติของเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่สอดส่องดูแลเพื่อให้เด็กได้ลดพฤติกรรมที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการดูดนิ้ว พฤติกรรมการดูดขวดนม ซึ่งแน่นอนว่าพฤติกรรมเหล่านี้เป็นเรื่องปกติของเด็กในวัยนี้ แต่ถ้าหากเด็กยังไม่เลิกพฤติกรรมดังกล่าวอาจทำให้ส่งผลต่อสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กได้ ซึ่งถ้าหากเกิดปัญหาเกี่ยวกับฟันการสบฟันที่ผิดปกติหรือกล้ามเนื้อโครงสร้างบริเวณใบหน้าทำงานผิดปกติ เด็กก็ต้องเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันในเด็กโดยใช้เครื่องมือ EF LINE

ซึ่งในปัจจุบัน ทางทันตกรรมได้พบว่ากล้ามเนื้อใบหน้าและลิ้นมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ขนาด และการทำงานของกระดูกขากรรไกรและใบหน้า ดังนั้น จึงมีการออกแบบเครื่องมือเพื่อทำการปรับแก้ไขปัญหาของกล้ามเนื้อซึ่งต้องร่วมกับการฝึกโดยการออกกำลังกล้ามเนื้อ การปรับเปลี่ยนการหายใจให้ถูกวิธี รวมถึงการใช้เครื่องมือเพื่อช่วยปรับการกลืนให้ถูกต้อง โดยเครื่องมือดังกล่าวเรียกว่า EF line โดยสามารถใช้ได้ในเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 4 -15 ปี โดยเครื่องมือในกลุ่มนี้มีความหลากหลายในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน เช่น ปัญหารูปหน้าที่มีคางหลุบ ค้างเบี้ยวกระดูกและฟันบนยื่น และกรณีที่เด็กมีรูปหน้าสั้นซึ่งต้องการเพิ่มความสูงใบหน้า ซึ่งสามารถแก้ไขได้ แต่เด็กที่ได้ผ่านการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก หรือกำลังเริ่มที่จะเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยเครื่องมือ EF LINE พ่อแม่หลายคนกังวลว่า การสวมใส่เครื่องมือ EF LINE ของเด็กนั้น จะส่งอันตรายต่อเด็กหรือไม่ วันนี้เราจะมาพูดถึงวิธีการแก้ไขปัญหาสำหรับเด็กที่มีอาการผิดปกติหรืออาจจะยังไม่ชินกับเครื่องมือ EF LINE ว่า พ่อแม่ควรจะรับมืออย่างไร

สำหรับเครื่องมือ EF line เป็นชุดเครื่องมือที่สามารถใช้แก้ไขปัญหากล้ามเนื้อที่มีการทำงานผิดปกติ ช่วยปรับตำแหน่งของลิ้น ช่วยส่งเสริมการปรับรูปของกระดูกโดยเราทราบว่ากระบวนการเจริญเติบโตของเด็กที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าส่วนกลางและกระดูกขากรรไกรล่างมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องมากน้อยตามแต่ช่วงอายุ ดังนั้น ตามหลักการแล้วหากต้องการปรับโครงสร้างใบหน้าจึงต้องทำการเริ่มแก้ไขในช่วงที่เด็กยังมีการเจริญเติบโต โดยเด็กจะต้องสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันตามที่ทันตแพทย์แนะนำ หรือใส่ คือ ตอนกลางคืนเวลานอนหลับ 10 ชม. เวลากลางวัน 2 ชั่วโมง ซึ่งในระหว่างใส่กลางวัน โดยพ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องคอยสังเกตพฤติกรรมอยู่ตลอด เวลาที่เด็กใส่เครื่องมือ EF LINE โดยควรให้เด็กใส่เครื่องมืออยู่นิ่งๆ ไม่เคี้ยวเล่น ไม่พูด ปากปิดสนิทเพื่อเป็นการออกกำลังกล้ามเนื้อรอบปาก ให้เด็กดื่มน้ำมากเพิ่มความชุ่มชื้นในช่องปากของเด็ก หากมีอาการระคายเคืองบางตำเเหน่ง ใช้ยาทาเเผลในปาก โดยทาตรงบริเวณที่เจ็บเพื่อบรรเทาอาการได้ อย่างไรก็ตาม การสวมใส่เครื่องมือ EF LINE วันเเรกๆของการใส่อาจไม่สบายนัก แต่ร่างกายจะปรับตัวยอมรับและดีขึ้นเอง

ซึ่งแรกๆเด็กบางคนอาจมีทำท่าทางเหมือนอยากจะอาเจียน แต่พ่อแม่ผู้ปกครอง ควรพยายามให้เด็กใส่ให้เกิดความเคยชินขึ้น โดยอาจปรับเวลาเป็นการใส่ครั้งแรก อาจใส่ครึ่งชั่วโมงเพื่อการปรับตัวแล้วพัก และใส่ต่อ โดยค่อยๆเพิ่มเวลา เมื่อเวลาผ่านไป เด็กจะสามารถสวมใส่เครื่องมือ EF LINE ได้นานขึ้น และเพลินเพลินกับการทำกิจกรรมอื่นๆไปด้วยได้ เช่น นั่งใส่ดูการ์ตูน อ่านหนังสือ และอื่นๆโดยไม่เผลอเคี้ยวหรือกัดเล่นเพราะเด็กบางคนอาจเผลอเคี้ยวเล่นหรือพยายามกัดและขยับให้พอดี

แต่อาจเป็นผลทำให้เครื่องมือ EF LINE ขาดได้ ทางที่ดีเมื่อใส่ EF LINE ก็ควรจะปรับ EF LINE ให้ตรงและเตือนเด็กให้พยายามใส่ประคองด้วยฟัน และนิ่งๆไว้ไม่เคี้ยวเล่น เมื่อเวลาผ่านไป ฟัน กระดูกเหงือก เนื้อเยื่อในปาก กล้ามเนื้อและลิ้นจะปรับตัวตามเครื่องมือ ปัญหาอาการระคายเคืองต่างๆจะค่อยๆลดลงจนสามารถใส่ได้นานๆอย่างสบาย ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองมีส่วนที่จะช่วยทำให้เด็กเกิดความเคยชินในการใส่เครื่องมือได้

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านไหน สนใจให้บุตรหลานของท่าน เข้ารับการจัดฟันในเด็ก ด้วยโปรแกรม EF Line สามารถขอรับคำแนะนำและปรึกษากับทางทันตแพทย์ของทางคลินิกได้ เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการจัดฟันในเด็กและมีประสบการณ์ด้านทันตกรรมในเด็กมาอย่างยาวนาน จึงเป็นการการันตีได้ว่า บุตรหลานของท่านจะมีสุขภาพฟันที่ดี และมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงาม มีรอยยิ้มที่สดใสสมวัย เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป็นเด็กที่มีสุขภาพฟันที่ดี มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน

6
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


7
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)

สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


8
สร้างรายได้ จากการขายคอหมูย่างแดดเดียวสูตรเด็ด เนื้อนุ่ม รสชาติกลมกล่อมอร่อยมาก

คอหมูย่างแดดเดียวเป็นเมนูยอดนิยมที่อร่อยและขึ้นชื่อในเรื่องเนื้อนุ่มและรสชาติกลมกล่อม เป็นเมนูที่เหมาะสำหรับทำกินเองที่บ้าน โดยเฉพาะถ้าคุณอยากทานอาหารที่รสชาติจัดจ้านและอิ่มท้อง เพลิดเพลินกับคอหมูย่างสูตรโฮมเมดของคุณ อาหารไทยแสนอร่อยที่ทำเองที่บ้านได้อย่างง่ายดาย นี่คือวิธีทำเมนูง่ายๆ แต่แสนอร่อยนี้ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากการทำอาหารแบบแดดเดียวของไทย

วัตถุดิบ:
คอหมู 500 กรัม (ประมาณ 1 ปอนด์) หั่นเป็นแผ่นบางๆ
กระเทียมสับ 3 กลีบ
พริกไทยดำ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มสายชูข้าว 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
ใบผักชีสด (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้สำหรับตกแต่ง)
มะนาวฝานเป็นแว่น (สำหรับเสิร์ฟ)
ข้าวเหนียว (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)

คำแนะนำ:
หมักคอหมู:
ในชาม ผสมกระเทียมสับ พริกไทยดำ น้ำปลา ซีอิ๊ว น้ำตาล น้ำส้มสายชูข้าว และน้ำมันพืช
ใส่เนื้อคอหมูลงในน้ำหมักแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน หมักไว้ 30 นาทีขึ้นไป หรือหากต้องการรสชาติที่ดีที่สุด ควรหมักไว้ในตู้เย็น 2-3 ชั่วโมงหรือข้ามคืน

เตรียมเตาย่าง:
อุ่นเตาย่างหรือกระทะย่างด้วยไฟปานกลาง หากคุณใช้เตาถ่าน ควรให้ถ่านร้อนและกระจายทั่วถึงกัน

ย่างคอหมู:
วางเนื้อคอหมูหมักลงบนตะแกรง ย่างประมาณ 3-4 นาทีต่อด้าน หรือจนกว่าเนื้อหมูจะสุกเป็นสีน้ำตาลสวย
หากต้องการผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรตั้งเตาให้ร้อนพอเหมาะเพื่อไม่ให้เนื้อสุกเกินไป เนื้อหมูควรกรอบด้านนอกแต่ยังคงชุ่มฉ่ำด้านใน

ให้บริการ:
เมื่อหมูย่างได้ที่แล้ว ให้ยกออกจากเตา เสิร์ฟพร้อมผักชีสดสำหรับตกแต่ง และบีบมะนาวฝานบาง ๆ เพื่อเพิ่มรสชาติ
เมนูนี้เข้ากันได้อย่างดีกับข้าวเหนียวและน้ำจิ้มที่คุณชื่นชอบ เช่น ซอสพริกหรือน้ำจิ้มมะขาม

เคล็ดลับ:
หากต้องการรสชาติพิเศษ คุณสามารถใส่พริกป่นลงไปในน้ำหมักเพื่อเพิ่มความเผ็ดร้อน
คอหมูสามารถย่างในเตาอบหรือบนเตาได้หากไม่มีเตาปิ้งย่างกลางแจ้ง
เพลิดเพลินกับคอหมูย่าง สูตรโฮมเมดของคุณ อาหารไทยแสนอร่อยที่ทำเองที่บ้านได้อย่างง่ายดาย เหมาะสำหรับมื้ออาหารแบบสบายๆ กับเพื่อนหรือครอบครัว

9
รถขนของไปต่างจังหวัด รถกระบะรับจ้างขนของนนทบุรี รถรับจ้าง 4 ล้อ เช็คราคารถรับจ้างได้

รถกระบะรับจ้างขนของนนทบุรี รถรับจ้าง 4 ล้อ เช็คราคารถรับจ้างได้ที่
จุดให้บริการของ รถกระบะรับจ้างขนของนนทบุรี มีได้แก่

รถรับจ้างภาคกลาง

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดกรุงเทพ

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดปทุมธานี

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดนนทบุรี

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดลพบุรี

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดสระบุรี

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดอ่างทอง

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดนครนายก

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดสิงห์บุรี

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดสุพรรณบุรี

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดนนทบุรี

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดสมุทรสงคราม

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดสมุทรสาคร

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดราชบุรี

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดกาญจนบุรี

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดอยุธยา

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดฉะเชิงเทรา

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดนครปฐม

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดเพชรบุรี

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดชัยนาท

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดหัวหิน

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

รถรับจ้างภาคอีสาน

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดขอนแก่น

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดมหาสารคาม

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดสกลนคร

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดศรีสะเกษ

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดอุบลราชธานี

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดหนองคาย

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดชัยภูมิ

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดมุกดาหาร

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดอำนาจเจริญ

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดนครพนม

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดบุรีรัมย์

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดหนองบัวลำภู

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดกาฬสินธุ์

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดอุดรธานี

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดเลย

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดร้อยเอ็ด

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดยโสธร

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดสุรินทร์

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดบึงกาฬ

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดนครราชสีมา

รถรับจ้างภาคเหนือ

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดเชียงใหม่

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดเชียงราย

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดอุทัยธานี

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดลำพูน

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดเพชรบูรณ์

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดน่าน

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดพะเยา

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดลำปาง

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดแม่ฮ่องสอน

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดสุโขทัย

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดพิจิตร

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดอุตรดิตถ์

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดตาก

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดแพร่

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดกำแพงเพชร

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดนครสวรรค์

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดพิษณุโลก

รถรับจ้างภาคตะวันออก

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดชลบุรี

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดระยอง

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดปราจีนบุรี

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดตราด

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดจันทบุรี

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดสระแก้ว

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดพัทยา

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดเกาะเสม็ด

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดเกาะช้าง

รถรับจ้างใต้

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดสงขลา

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดชุมพร

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดสุราษฎร์ธานี

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดพังงา

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดนครศรีธรรมราช

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดตรัง

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดพัทลุง

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดกระบี่

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดสตูล

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดภูเก็ต

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดระนอง

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดนราธิวาส

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดปัตตานี

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดยะลา

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดหาดใหญ่

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดเกาะพีพี

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดเกาะพะงัน

รถกระบะรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรีไปจังหวัดเกาะสมุย

หากพูดถึงด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญคงปฏิเสธไม่ได้ว่า งานขนย้าย งานด้านโลจิสติกส์ ถือว่ามีความสำคัญมากในปัจจุบัน นั่นคือ รถรับจ้าง และเรากำลังพูดถึง รถกระบะรับจ้างนนทบุรี คือ รถผู้ให้บริการที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่ง โดยที่ระบุ วัตถุประสงค์ ชัดเจน ในการ ให้บริการขนย้ายของ รับจ้างขนของ เป็นสำคัญ ถือว่าเป็นรถรับจ้างนนทบุรีที่มีขนาดเล็ก มีความคล่องตัวสูง ราคาค่าขนย้ายไม่แพง วิ่งในเขตในเมือง ไม่ติดเวลา สามารถ ทำเวลา ได้ ในกรณีที่ต้อง ไปรับสินค้าด่วน ซึ่งในปัจจุบัน ในธุรกิจออนไลน์ ถือได้ว่า มีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจ ขนส่งเป็นอย่างมากและรถกระบะรับจ้างก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญที่เข้ามาช่วยสนับสนุน การเติบโตของธุรกิจออนไลน์ ซึ่งเราจะเห็นได้จากปัจจุบันนี้มีรถกระบะรับจ้าง ทั้งวิ่งร่วมและวิ่งส่วนตัว เข้ามาให้บริการขนย้ายของเป็นจำนวนมาก หากเราจะจำแนกรถกระบะรับจ้างหรือรถสี่ล้อรับจ้างนั้น จะมี ลักษณะของรถขนของ ดังนี้

    รถกระบะรับจ้างนนทบุรีแบบ ตู้ทึบสแตนเลส ซึ่งมีขนาดของรถอยู่ที่ เหมาะสำหรับงานที่ ให้บริการย้ายหอ ย้ายบ้าน ขนส่งสินค้าออนไลน์ สินค้าที่มีขนาดเล็ก บริการขนย้ายสินค้าให้กับโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไป
    รถกระบะรับจ้างนนทบุรีแบบคอกสูง ขนาดของรถจะมีขนาด การให้บริการ ส่วนใหญ่จะเป็นขนย้ายวัตถุดิบทางการเกษตร ย้ายหอ ขนส่งสินค้า วัสดุก่อสร้าง ย้ายบ้าน เป็นต้น
    รถ 4 ล้อใหญ่รับจ้างนนทบุรี เป็นรถรับจ้าง 4 ล้อที่มีขนาด เป็นรถที่เข้ามารองรับการขนย้ายที่มีปริมาณที่มากกว่า รถกระบะ หรือมีสินค้า ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมา โดยไม่สามารถที่ใส่รถกระบะได้หมด งานให้บริการส่วนใหญ่ก็จะเป็นงานย้ายบ้านย้ายหอ ขนย้ายสินค้าทางการเกษตรเป็นต้น

หากพูดถึงงานบริการในลักษณะนี้เราจึงอยากจะแนะนำงานบริการรับจ้างขนย้ายของที่ดี งานมีคุณภาพ ซึ่งถือว่าเป็นผู้ให้บริการที่มีความเก่งด้านบริการ รถรับจ้าง เป็นอย่างมาก มีความพร้อม มีความรับผิดชอบเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ใช้บริการรถกระบะรับจ้างจะหมดความกังวลใจ และ ได้รับความมั่นใจว่าผู้ให้บริการนั้นมีความสามารถและประสบการณ์ที่จะไม่ทำให้สินค้าของท่านต้องเสียหายอย่างแน่นอน ราคาค่าขนย้ายที่ถือว่าไม่สูง และมีพนักงานช่วยขนย้ายบริการ ที่สำคัญเป็น รถขนของ ของเราเอง ด้วยประสบการณ์กว่า 15ปี ชำนาญทุกเส้นทาง

ด้วยปัจจุบัน รถกระบะรับจ้าง นั้นมีจำนวนมาก ด้วยสังคม ของคนไทยส่วนใหญ่ในแทบทุกบ้านจะมีรถกระบะเป็นของตัวเอง ในบางคนก็จะออกรถกระบะมาเพื่อใช้งานในครอบครัวบางคนก็มาใช้งานเพื่อการรับจ้าง ซึ่งมีอยู่ทั่ว ประเทศ ดังนั้นเราจึงควรเลือกผู้ให้บริการรถกระบะรับจ้างที่มีประสบการณ์และมีความเป็นมืออาชีพเข้ามาให้บริการรับจ้างขนของแก่เราเพื่อไม่ให้สินค้าของเรานั้น ชำรุดเสียหาย และที่สำคัญต้องเป็นผู้ให้บริการที่สามารถจะรับประกันสินค้าของเราได้หากเกิดกรณี อุบัติเหตุ หรืออื่นๆ ในสิ่งที่เราไม่คาดคิด

การเลือกใช้บริการรถกระบะรับจ้างขนของนนทบุรีมีขั้นตอนง่ายๆดังนี้

    เลือกใช้รถกระบะรับจ้างที่สามารถติดต่อได้ตลอด 24 ชั่วโมง
    ราคาค่าขนย้ายของรถกระบะขนของจะต้องไม่ถูกหรือแพงจนเกินไป
    มีการบริการที่ดีพูดจาสุภาพมีความเป็นกันเอง
    รักในงานบริการและเข้าใจผู้ใช้บริการ
    มีพนักงานยกสินค้า ไว้คอยบริการ


10
บริการทำความสะอาด: เคล็ดลับ ทำความสะอาดบ้านเสร็จไว ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง

พอพูดถึงเรื่องทำความสะอาดบ้านแล้ว ก็รู้สึกเพลียขึ้นมาทันที หรือบางคนก็อาจจะยุ่งอยู่กับการทำงานจนไม่มีเวลาเก็บกวาดบ้านเลย ครั้นจะหาเวลามาทำความสะอาดบ้านทั้งหลังก็แทบจะไม่มี เพราะต้องใช้เวลานานอยู่พอสมควรเลย ...จากนี้ไปไม่ต้องเสียเวลาไปกับการทำความสะอาดบ้านครั้งละนาน ๆ แล้ว เพราะเรามีเคล็ดลับ!! ทำความสะอาดบ้านเสร็จไว ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง มาฝาก

วางแผนการทำความสะอาดบ้าน

          หากคุณวางแผนก่อนเริ่มทำความสะอาด จะทำให้คุณประหยัดเวลาและลดขั้นตอนการทำความสะอาดขึ้นได้ งานจะดูน้อยลงและรู้ว่าต้องทำอะไรก่อน-หลัง ไม่เสียเวลาระหว่างการทำความสะอาด โดยเริ่มจาก

          1. กำหนดเวลา คุณมีเวลาในการทำความสะอาดบ้านครั้งนี้เท่าไหร่ เช่น 45 นาที

          2. เรียงลำดับห้องไหนทำความสะอาดก่อน-หลัง ไอเดียในการเรียงลำดับ เช่น ทำความสะอาดจากห้องที่ใช้งานบ่อยที่สุด, ห้องที่ต้องใช้ด่วนที่สุด, จากห้องชั้นบนลงมาชั้นล่าง, จากห้องทางซ้ายไล่ไปห้องทางขวา หรือจากห้องที่สกปรกที่สุด เป็นต้น

          3. กำหนดว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ในการทำความสะอาดแต่ละห้อง อาจใช้เวลามาก-น้อยต่างกันในแต่ละห้อง โดยดูจากความสกปรก ความเรียบร้อย รวมไปถึงขนาดของห้อง เช่น คุณมีเวลาทั้งหมด 45 นาที แบ่งเป็น ห้องนอน 8 นาที, ห้องน้ำ 14 นาที, ห้องนั่งเล่น 9 นาที และห้องครัว 14 นาที

          4. วางแผนว่าแต่ละห้องที่ทำความสะอาด ต้องทำอะไรบ้าง อาจทำเช็คลิสต์รายการทำความสะอาดไว้ เพื่อความเป็นระบบ กระชับเวลาได้มากขึ้น เช่น เก็บหรือจัดระเบียบของที่รก, เช็ดหน้าต่าง, กวาดพื้น, ดูดฝุ่น, ถูบ้าน, ล้างอ่าง, ล้างโถสุขภัณฑ์ เป็นต้น

เตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านให้พร้อม

          แนะนำให้รวบรวมอุปกรณ์ทำความสะอาดที่ต้องใช้เอาไว้ที่เดียวกัน เพื่อความสะดวกในการหยิบใช้งาน ไม่ต้องเสียเวลาหาระหว่างการทำความสะอาด ทำลิสต์ออกมาเลยว่า ห้องไหนต้องใช้อะไรบ้าง ถึงคิวทำความสะอาดห้องไหน จะได้หอบอุปกรณ์ทำความสะอาดที่ต้องใช้ใส่ตะกร้าไปทีเดียวเลย ตัวอย่างอุปกรณ์ทำความสะอาดที่ต้องใช้มีตามนี้เลย

          - ไม้กวาด

          - ไม้ขนไก่

          - ผ้า

          - เครื่องดูดฝุ่น

          - ไม้ถูพื้นและถังน้ำ

          - น้ำยาทำความสะอาดต่าง ๆ หรือสเปรย์ทำความสะอาดต่าง ๆ

          - แปรงขัด

          - ถุงขยะ

          - ตะกร้า เอาไว้เก็บของที่วางเกะกะ รอการจัดเก็บเข้าที่

          - นาฬิกาจับเวลา หรือสมาร์ทโฟนก็ได้ เอาไว้จับเวลาทำความสะอาดให้เสร็จเรียบร้อยภายในเวลาที่วางแผนไว้

เก็บห้องรกหรือจัดระเบียบสิ่งของที่อยู่ไม่เป็นที่

          ก่อนที่จะทำความสะอาดในแต่ละห้อง ควรเริ่มต้นด้วยการเก็บของที่รก หรือของที่วางไม่เป็นที่ให้เรียบร้อยก่อน เพราะจะทำให้ห้องเป็นระเบียบและง่ายกับการทำความสะอาดมากยิ่งขึ้น โดยการเอาตะกร้าหรือกล่องใส่ของติดตัวไปด้วย เพื่อเอาสิ่งของที่วางไม่เป็นที่ หรือของที่ต้องการทิ้งแยกใส่ลงไปในแต่ละตะกร้า เพื่อรอการจัดระเบียบต่อไป ที่สำคัญ คุณต้องใช้ความรวดเร็วในการแยกของ อย่าลังเลใจนาน เพราะจะทำให้เกินเวลาที่วางแผนไว้ได้ ถ้าชิ้นไหนไม่แน่ใจจริง ๆ ให้แยกใส่ตะกร้าก่อนแล้วค่อยมาตัดสินใจภายหลัง จริง ๆ แล้วแนะนำให้พยายามเก็บของให้เข้าที่ทุกครั้งที่ใช้งาน เมื่อของที่รกเริ่มเยอะขึ้นเรื่อย ๆ จะได้ไม่เหนื่อย และไม่เสียเวลามาเก็บ

ทำความสะอาดห้องนอน 8 นาที

          สิ่งที่คุณต้องทำจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ 1. เก็บของรกและ 2. ทำความสะอาดห้อง ในครั้งนี้ อาจแบ่งเวลาครึ่งนึงไปกับการเก็บของรก 4 นาที และอีกครึ่งไปกับการทำความสะอาด 4 นาทีก็ได้ แล้วครั้งหน้าให้พยายามเก็บของเข้าที่ ไม่ทำให้ห้องรก แล้วมาเก็บทีเดียวอีกค่ะ เพราะจะทำให้เสียเวลามากกว่า ...เมื่อเก็บของที่รกเรียบร้อยแล้ว จะเหลือการทำความสะอาดห้องอีกแค่ 2-3 อย่าง ตามนี้

          - รวบผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนใส่ตะกร้าเพื่อนำไปซัก แนะนำให้เปลี่ยนผ้าปูที่นอน และนำเซตเก่าไปซักทุกสัปดาห์ และควรเก็บที่นอนให้เรียบร้อยทุกวัน หลังตื่นนอน

          - หาผ้ายาง หรือผ้าอะไรก็ได้มาคลุมเตียงก่อนทำความสะอาด เพราะเวลากวาดห้อง ฝุ่นอาจฟุ้งกระจายมาบนเตียงนอนได้

          - จากนั้นควรไล่ทำความสะอาดจากส่วนบนของห้องหรือเฟอร์นิเจอร์ ฝุ่นจะได้ตกลงมาข้างล่าง แล้วค่อยกวาดถูพื้นทีเดียว จะทำให้ประหยัดเวลาขึ้น

ทำความสะอาดห้องน้ำ 14 นาที

          ห้องน้ำเป็นห้องที่ถือว่าสกปรกมากที่สุดห้องนึงเลย ทั้งคราบสบู่ แชมพู คราบเหงื่อไคล เป็นต้น จึงต้องให้เวลากับห้องนี้มากหน่อย แนะนำให้ทำความสะอาดห้องน้ำทุกสัปดาห์ค่ะ ถ้าทิ้งไว้นานจะทำให้ใช้เวลาทำความสะอาดมากขึ้น เนื่องจากคราบสกปรกที่เพิ่มขึ้น และติดฝังคราบมากขึ้น โดยขั้นตอนการทำความสะห้องน้ำจะเป็นประมาณนี้

          - จัดระเบียบของที่อยู่ไม่เป็นที่เป็นทางก่อน และเคลียร์สิ่งของที่ไม่จำเป็นทิ้งไป ซึ่งควรเคลียร์ทุก ๆ เดือน ของจะได้ไม่รก

          - ฉีดน้ำล้างในทุก ๆ ส่วนของห้องน้ำ

          - เมื่อฉีดน้ำแล้ว จะมีเส้นผมหรือสิ่งสกปรกมากองรวมกันทั้งตะแกรงท่อที่อ่างล้างหน้า และตะแกรงท่อน้ำที่พื้นให้เก็บทิ้งไปก่อน

          - จากนั้นให้เช็ดฝุ่นตามเฟอร์นิเจอร์และสิ่งของต่าง ๆ ในห้องน้ำ ด้วยสเปรย์อเนกประสงค์และผ้า เช่น ตามกระจก เคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า

          - ล้างทำความสะอาดทั้งพื้นห้องน้ำ อ่างล้างหน้า และโถสุขภัณฑ์ที่มีคราบฝังลึก คุณอาจเทน้ำยาทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที แล้วกลับมาทำความสะอาดอีกทีด้วยแปรงขัด หรือฟองน้ำก็ได้

          - อย่าลืมเก็บถุงขยะในห้องน้ำไปทิ้ง และล้างถังขยะให้เรียบร้อย จะได้ไม่เป็นการสะสมเชื้อโรค

ทำความสะอาดห้องนั่งเล่น 9 นาที

คล้ายกับการทำความสะอาดห้องนอนเลย จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1. จัดระเบียบของที่รกและ 2. ทำความสะอาดห้อง โดยหลังจากที่จัดของรกแล้ว ก็จะเหลือขั้นตอนทำความสะอาด ดังนี้

          - ปัดฝุ่นจากข้างบนเพดาน ไล่ลงมาข้างล่าง เช่น เช็ดหลอดไฟเพดาน ทำความสะอาดผ้าม่าน ปัดฝุ่นเฟอร์นิเจอร์ ดูดฝุ่นโซฟา

          - เมื่อทำความสะอาดจากด้านบนแล้ว ฝุ่นผง สิ่งสกปรกต่าง ๆ ก็จะตกลงมาที่พื้น ก็ถึงเวลาที่เราจะต้อง กวาด ดูด และถูพื้นให้สะอาดทุกซอกทุกมุมเลย

          - ขั้นตอนสุดท้าย จัดเก็บสิ่งของและเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ เข้าที่ให้เรียบร้อย เช่น หมอนอิงที่โซฟา แจกันที่โต๊ะหรือตู้ กรอบรูปที่กำแพง หรือพรมเช็ดเท้า เป็นต้น
ทำความสะอาดห้องครัว 14 นาที

          ห้องครัวก็เป็นอีกห้องที่สกปรกไม่แพ้ห้องน้ำเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นคราบน้ำมัน มีเศษอาหาร มีขยะเปียก เราจึงให้เวลากับห้องนี้เยอะหน่อย หลัก ๆ แล้วห้องครัวมีขั้นตอนการทำความสะอาดตามนี้

          - ในกรณีที่บ้านไหนมีจานชามหรืออุปกรณ์เครื่องครัวกองอยู่ในอ่างล้างจาน ให้เคลียร์ของพวกนี้ก่อน ทางที่ดีให้ล้างทุกครั้งหลังใช้งาน

          - จากนั้นให้ทำความสะอาดพวกเตาไมโครเวฟ เตาอบ และเตาแก๊ส เพราะสิ่งนี้อาจจะเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ครัวของคุณมีกลิ่น เนื่องจากมีเศษอาหารจากการใช้งานติดค้างอยู่ในเตา วิธีทำความสะอาดเตาไมโครเวฟ ให้ผสมน้ำมะนาวกับน้ำเปล่าในภาชนะ และใส่เข้าไปอบในเตาไมโครเวฟ 2-3 นาที จะทำให้คราบสกปรกหลุดออกง่ายขึ้น

          - ทำความสะอาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว

          - เคลียร์ของที่หมดอายุ ของเน่าเสีย ของที่ไม่จำเป็นแล้ว ในตู้เย็นทิ้งไป ซึ่งควรเคลียร์ทุกเดือน

          - ทำความสะอาดคราบสกปรกที่กำแพงและพื้นห้องครัว

          - เก็บถุงขยะไปทิ้ง เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของกลิ่นไม่พึงประสงค์และเชื้อโรค

11
เที่ยววัดโพธิ์เก้าต้น วัดดัง เก่าแก่ สิงห์บุรี ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ แห่ง ค่ายบางระจัน

ไปเที่ยวใกล้ๆ กรุงเทพ ชม วัดดัง ของ ที่เที่ยวสิงห์บุรี กันบ้างดีกว่า เรียกได้ว่าวัดแห่งนี้เป็นวัดทางประวัติศาสตร์เลย เพราะมีบทบาทสำคัญอย่างมากใน่ชวงที่ชาวบ้านบางระจันได้ต่อสู้กับพม่า นั่นก็คือวัดที่มีชื่อว่า วัดโพธิ์เก้าต้น อีกทั้งหลายๆ คนน่าจะได้ยินชื่อเสียงความศักดิ์สิทธิ์ของวัดนี้กันมาบ้าง ถ้าอย่างนั้นตามเรามาชมประวัติและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดกันเลยค่า

ประวัติ วัดโพธิ์เก้าต้น

     วัดโพธิ์เก้าต้น ตั้งอยู่ที่หมู่ 8 ตำบลบางระจัน อำเภอค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับอนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจันเลยค่ะ โดยเป็นสถานที่ที่วีรชนชาวบ้านบางระจันได้เคยใช้เป็นที่มั่นในการต่อต้านพม่าที่ยกกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. 2308 นั่นเองค่ะ วัดนี้เลยมีทั้งความเก่าแก่ และความศักดิสิทธิ์ รวมถึงยังเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอีกด้วย

     ทำให้กรมศิลปกรได้ขึ้นทะเบียนให้ วัดโพธิ์เก้าต้น เป็นโบราณสถานในปี พ.ศ. 2498 แล้วค่ะ เมื่อก่อนนั้นชาวบ้านจะเรียกวัดนี้ว่า วัดไม้แดง เพราะภายในบริเวณวัดจะมีต้นไม้แดงขึ้นอยู่เป็นจำนวนมากนั่นเองค่ะ และยังมีความเชื่อกันอีกว่าไม้แดงนี้เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ที่ไม่มีผู้ใดกล้าตัดทำลาย ซึ่งก็เคยมีต้นไม้แดงที่อายุมากกว่า 200 ปี ยืนต้นตายอยู่ภายในวัดอีกด้วยค่ะ

ไฮไลท์ ของ วัดโพธิ์เก้าต้น

     ปัจจุบันนี้ก็ได้มีการสร้างค่ายจำลองไว้บริเวณหน้า วัดโพธิ์เก้าต้น ด้วย ส่วนภายในวัดก็จะมี วิหารพระอาจารย์ธรรมโชติ หรือ หลวงพ่อยิ้ม พระผู้เป็นที่พึ่งของชาวบ้านยามเมื่อเกิดศึกสงครามค่ะ รวมถึงยังเป็นที่เคารพบูชาของชาวจังหวัดสิงห์บุรีมาอย่างยาวนานเช่นกัน โดยเชื่อกันว่าถ้าได้มาบนบานกับรูปประติมากรรมพระอาจารย์ธรรมโชติแล้ว เมื่อได้สมใจปรารถนาแล้ว ก็ต้องมาแก้บนด้วยการหาบน้ำมาเติมลงใน สระน้ำพระธรรมโชติ นั่นเองค่ะ

     รวมถึงตัววัดนั้นจะอยู่ติดกับ ตลาดไทยย้อนยุคบ้านระจัน เลยค่ะ เราสามารถไหว้พระเสร็จแล้ว ก็แวะไปเที่ยวช้อปชิมชิลต่อที่ตลาดได้ด้วย อีกทั้ง วัดโพธิ์เก้าต้น ยังเดินทางมาง่ายๆ ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มานัก และห่างจากตัวเมืองสิงห์บุรีแค่ประมาณ 15 กิโลเมตร สามารถมาได้โดยใช้ถนนเส้นทางหลวงหมายเลข 3032 ได้เลยค่า

    ที่อยู่ : หมู่ 8 ตำบลบางระจัน อำเภอค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี
    เปิดให้เข้าชม : 08.00-17.00 น.
    โทร : -

12
จัดฟันบางนา: การจัดฟันในเด็ก กับ การจัดฟันตอนโต ต่างกันอย่างไร

การเข้ารับการจัดฟัน ถือว่าเป็นการรักษาทางทันตกรรมอย่างหนึ่ง ที่ช่วยแก้ไขปัญหาฟันได้แทบจะทุกกรณี แต่การจัดฟันนั้น ก็มีด้วยกันหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการจัดฟันที่สวมใส่เครื่องมือแบบติดแน่น การจัดฟันแบบใส การจัดฟันแบบเร็ว ซึ่งการจัดฟันในรูปแบบต่างๆที่กล่าวมานั้น ก็จะมีข้อแตกต่างกันออกไป มีจุดเด่นที่แตกต่างกัน และแก้ไขปัญหาได้แตกต่างกัน เช่นเดียวกับการจัดฟันในเด็กและการจัดฟันในผู้ใหญ่ แน่นอนว่าก็จะมีความแตกต่างกัน

เพราะการจัดฟันในเด็กจะมีการใช้เครื่องมือที่แตกต่างกัน หลายคนเคยจัดฟันในตอนเด็กและอาจจะละเลยในการสวมใส่เครื่องมือที่ต้องใส่หลังการจัดฟัน เพื่อช่วยคงสภาพฟันให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม พอโตมาก็อาจจะมีปัญหาอื่นๆตามมา จนต้องเข้ารับการจัดฟันอีกครั้ง ก็จะเห็นในข้อแตกต่างระหว่างการจัดฟันในเด็กกับการจัดฟันตอนโต และวันนี้เราจะมาพูดถึงข้อแตกต่างของการจัดฟันในเด็กและการจัดฟันตอนโต ว่ามีข้อดีข้อเสียอย่างไร เผื่อพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดสนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็อาจจะเป็นแนวทางในการตัดสินใจ และจะได้เห็นข้อแตกต่างจากการจัดฟันตอนโต

ต้องบอกก่อนว่า การจัดฟันในเด็ก ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยจะมีความจำเป็นมากเท่าไหร่ แต่การที่เราปลูกฝังหรือส่งเสริมบุตรหลานของท่านในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าหากบุตรหลานของท่านมีสัญญาณสุขภาพช่องปากและฟันที่มีความผิดปกติของการขึ้นของฟัน หรือแม้กระทั่งการที่บุตรหลานของท่านมีพฤติกรรมการดูดนิ้ว จนอาจจะทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับรูปร่างของฟัน ต้องบอกว่า การจัดฟันในเด็ก สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ เพราะการจัดฟันในเด็กนั้น สามารถเริ่มจัดฟันได้ตั้งแต่อายุ 7-15 ปี เพราะในวัยนี้ ฟันน้ำนมจะหลุดออกหมดแล้ว และฟันแท้ก็ขึ้นครบแล้ว

ซึ่งการจัดฟันในเด็ก ถือว่าเป็นประโยชน์ นอกจากจะทำให้เด็กมีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามตั้งแต่เด็กแล้ว ยังสามารถทำให้เด็กมีรอยยิ้มได้อย่างมั่นใจและยังช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กได้หลายอย่าง ที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ เมื่อมีฟันเรียงสวย ไม่ซ้อนเก เด็กก็จะแปรงฟันได้ง่ายขึ้น สำหรับการจัดฟันตอนโตนั้น ถือว่าเป็นการรักษาที่ได้รับความนิยมมาก เพราะผู้ใหญ่บางคนก็มีปัญหาเกี่ยวกับฟันที่มีความผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นฟันห่าง ฟันซ้อน ฟันเก ซึ่งส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบุคลิกภาพ การรับประทานอาหาร ซึ่งอาจจะทำให้การบดเคี้ยวอาหารนั้น ไม่ดีเท่าที่ควร และยังส่งผลต่อการทำความสะอาดช่องปากและฟันด้วย ถ้าหากเราทำความสะอาดช่องปากและฟันได้ไม่ดี ก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาช่องปากตามมาได้ จึงเลือกใช้วิธีการเข้ารับการจัดฟัน เพื่อที่จะช่วยแก้ไขปัญหาฟัน

แต่การจัดฟันสำหรับผู้ใหญ่ ก็สามารถแก้ไขปัญหาฟันได้ แต่ต้องเข้าใจก่อนว่า การจัดฟันในผู้ใหญ่อาจจะช้ากว่าการจัดฟันในเด็ก และมีข้อจำกัดมากกว่าเด็ก เนื่องจากเด็กอยู่ในวัยกำลังเจริญเติบโต ร่างกายสามารถซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ดี การเคลื่อนฟันในเด็กเลยมักง่ายกว่า มีผลแทรกซ้อนน้อยกว่า ต่างกับการจัดฟันในผู้ใหญ่ที่ร่างกายเริ่มมีความเสื่อมถอย แต่อย่างไรก็ตาม ทันตแพทย์ก็จะต้องดูความเหมาะสม ตามภาพร่างกายของแต่ละบุคคลด้วย

ดังนั้น การจัดฟันในเด็ก กับ การจัดฟันตอนโต นั้น ก็จะมีความแตกต่างกันในเรื่องของ ข้อจำกัดในเรื่องของอายุ สภาพของร่างกาย อัตราการเคลื่อนของฟัน รวมไปถึงการตอบสนองต่อการรักษา แต่ผู้ใหญ่ก็สามารถเข้ารับการจัดฟันได้เช่นเดียวกัน  หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟัน สามารถติดต่อสอบถามได้ที่คลินิกทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษา และจะช่วยแก้ไขปัญหาฟันของท่านได้อย่างตรงจุดและถูกต้อง เพราะทางเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี อยากให้มีรอยยิ้มที่สดใส มั่นใจ สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข


13
สินค้า บริการอื่น ๆ / หมอประจำบ้าน: หืด (Asthma)
« เมื่อ: 24 กันยายน 2025, 14:55:40 pm »
หมอประจำบ้าน: หืด (Asthma)

หืด เป็นโรคทางเดินหายใจเรื้อรังชนิดหนึ่ง  ซึ่งมีภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นเนื่องจากหลอดลมตีบเป็นครั้งคราว  ทำให้มีอาการหายใจหอบเหนื่อย เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง  ส่วนมากมักจะไม่มีอันตรายร้ายแรง  ยกเว้นในรายที่เป็นมากหรือไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง  ก็อาจเกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นอย่างถาวร  หรือมีอันตรายถึงตายได้

โรคนี้พบได้บ่อยในคนทุกวัย  มีความชุกสูงสุดในช่วงอายุ 10-12 ปี  ส่วนใหญ่มักมีอาการเกิดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่อายุก่อน 5 ปี  ส่วนน้อยที่เกิดขึ้นครั้งแรกในวัยหนุ่มสาวและวัยสูงอายุ

ในบ้านเราเคยมีการสำรวจนักเรียนในกรุงเทพฯ  พบว่ามีความชุกของโรคนี้ประมาณร้อยละ 4-13

ในวัยเด็ก (ก่อนวัยหนุ่มสาว) พบในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิงประมาณ 1.5-2 เท่า

ทั่วโลกพบว่าโรคนี้มีแนวโน้มเกิดมากขึ้นในทุกประเทศ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเมืองที่มีสิ่งแวดล้อม (ได้แก่ มลพิษและสารก่อภูมิแพ้) และวิถีชีวิตที่ส่งเสริมให้เกิดโรคนี้

สาเหตุ

เกิดจากปัจจัยร่วมกันหลายประการ ทั้งทางด้านกรรมพันธุ์ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การติดเชื้อ และสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้มีการอักเสบเรื้อรังของหลอดลม ทำให้หลอดลมมีความไวต่อสิ่งเร้าต่าง ๆ มากกว่าคนปกติ เป็นเหตุให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหลอดลม การบวมของเนื้อเยื่อผนังหลอดลม และการหลั่งเมือก (เสมหะ) มากในหลอดลม มีผลโดยรวมทำให้หลอดลมตีบแคบลง เกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นชนิดผันกลับได้ (revesible) ซึ่งสามารถกลับคืนเป็นปกติได้เอง หรือภายหลังให้ยารักษา

บางรายอาจมีการอักเสบของหลอดลมอย่างต่อเนื่องนานเป็นแรมปี  หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง  โครงสร้างของหลอดลมจะค่อย ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง  จนในที่สุดมีความผิดปกติ (airway remodeling) ชนิดไม่ผันกลับ (irreversible) ทำให้เกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นอย่างถาวร

ผู้ป่วยมักมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้อื่น ๆ (เช่น หวัด ภูมิแพ้ ผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้) ร่วมด้วย และมักมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายหรือญาติพี่น้องเป็นหืดหรือโรคภูมิแพ้อื่น ๆ

นอกจากนี้ยังพบปัจจัยที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มากขึ้น ได้แก่ ภาวะน้ำหนักเกิน (ทำให้มีอาการกำเริบบ่อย และรุนแรงได้) ทารกคลอดก่อนกำหนด หรือน้ำหนักแรกเกิดน้อย ทารกที่มีมารดาสูบบุหรี่ขณะตั้งครรภ์ การติดเชื้อไวรัสตั้งแต่เล็ก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไวรัสอาร์เอสวี (ดู "โรคหลอดลมฝอยอักเสบ" เพิ่มเติม) การสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ (ได้แก่ ไรฝุ่นบ้าน) ปริมาณมากตั้งแต่ในช่วงขวบปีแรก

กลไกการตีบแคบของหลอดลมในโรคหืด

สาเหตุกระตุ้น 

ผู้ป่วยมักมีอาการกำเริบเมื่อมีสิ่งเร้าหรือสาเหตุกระตุ้น  ที่พบบ่อยได้แก่

    สารก่อภูมิแพ้ เช่น ละอองหญ้า วัชพืช  ละอองเกสรดอกไม้  ไรฝุ่นบ้าน (พบอยู่ตามพรม ที่นอน เฟอร์นิเจอร์หรือของเล่นที่ทำด้วยนุ่น หรือเป็นขน ๆ) เชื้อรา (พบสปอร์ตามพุ่มไม้  ในสวน ห้องน้ำ ห้องครัว ในที่ชื้น) แมลงสาบและสัตว์เลี้ยงในบ้าน (สารก่อภูมิแพ้อยู่ในน้ำลาย ขุยหนังที่ลอกหรือรังแค ขนสัตว์ ปัสสาวะ และมูลสัตว์) อาหาร (ได้แก่ นมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัว ไข่ กุ้ง หอย ปู ปลา ถั่วลิสง งา สีผสมอาหาร สารกันบูดในอาหาร)
    สิ่งระคายเคือง เช่น ควันบุหรี่ ควันท่อไอเสีย ควันไฟ ควันธูป ฝุ่นละออง มลพิษในอากาศ (ก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้ของรถยนต์ ก๊าซโอโซนที่พบมากในเมืองใหญ่) สเปรย์ ยาฆ่าแมลงหรือวัชพืช อากาศเย็นหรืออากาศเปลี่ยน กลิ่นฉุด ๆ สารเคมี (ภายในบ้าน ที่ทำงาน และโรงงาน)
    ยา ได้แก่ แอสไพริน  ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์  ยาลดความดันกลุ่มปิดกั้นบีตา 
    การติดเชื้อของทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ไซนัสอักเสบ ทอนซิลอักเสบ หลอดลมอักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบ เป็นต้น
    การออกกำลังกาย อาจชักนำให้เกิดอาการหอบหืดกำเริบในผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การออกกำลังจนเหนื่อยหรือหักโหมเกินไป
    ความเครียดทางจิตใจ เช่น ความเครียดจากปัญหาเศรษฐกิจ การงาน ครอบครัว รวมทั้งอารมณ์ซึมเศร้า  ความเศร้าโศกจากการสูญเสียคนที่รัก  เป็นต้น
    ฮอร์โมนเพศ  พบว่าผู้หญิงระยะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ (puberty) ระยะก่อนมีประจำเดือน  หรือขณะตั้งครรภ์ มักมีโรคหืดกำเริบ  (ในช่วงสัปดาห์ที่ 24-36 ของการตั้งครรภ์)
    โรคกรดไหลย้อน น้ำย่อยหรือกรดที่ไหลย้อนลงไปในหลอดลมอาจทำให้โรคหืดกำเริบได้บ่อย

อาการ

มักมีอาการแน่นอึดอัดในหน้าอก หรือหอบเหนื่อยร่วมกับมีเสียงดังวี้ดคล้ายเสียงนกหวีด (ระยะแรกจะได้ยินช่วงหายใจออก ถ้าเป็นมากขึ้นจะได้ยินทั้งช่วงหายใจเข้าและออก) อาจมีอาการไอ ซึ่งมักมีเสมหะใสร่วมด้วย

บางรายอาจมีเพียงอาการแน่นอึดอัดในหน้าอก หรือไอเป็นหลักโดยไม่มีอาการอื่น ๆ ชัดเจนก็ได้ อาการไอดูคล้ายไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ หรือหลอดลมอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะแรกเริ่มของโรคนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการไอมากตอนกลางคืนหรือเช้ามืด ในช่วงอากาศเย็นหรืออากาศเปลี่ยน หรือวิ่งเล่นมาก ๆ เด็กเล็กอาจไอมากจนอาเจียนออกมาเป็นเสมหะเหนียว ๆ และรู้สึกสบายหลังอาเจียน

ผู้ป่วยอาจมีอาการภูมิแพ้ เช่น คัดจมูก คันคอ เป็นหวัด จาม หรือผื่นคันร่วมด้วย หรือเคยมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้มาก่อน

ในรายที่เป็นเพียงเล็กน้อยถึงปานกลาง มักจะมีอาการเป็นครั้งคราว และมักกำเริบทันทีเมื่อมีสาเหตุกระตุ้น ผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบากจะลุกขึ้นนั่งฟุบกับโต๊ะหรือพนักเก้าอี้และหอบตัวโยน

ในรายที่เป็นรุนแรงมักมีอาการต่อเนื่องตลอดทั้งวันจนกว่าจะได้ยารักษา จึงจะรู้สึกหายใจโล่งสบายขึ้น

ในช่วงที่ไม่มีอาการกำเริบ ผู้ป่วยจะรู้สึกสบายเช่นคนปกติทั่วไป

ผู้ป่วยบางรายที่เป็นโรคหืดรุนแรง เช่น เคยหอบรุนแรงจนต้องไปรักษาที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลบ่อย เคยต้องใส่ท่อหายใจช่วยชีวิต ต้องใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดกินหรือฉีด หรือต้องใช้ยากระตุ้นบีตา 2 ชนิดออกฤทธิ์สั้น สูดมากกว่า 1-2 หลอด/เดือน ถ้าขาดการรักษาหรือได้รับยาไม่เพียงพอในการควบคุมอาการ  อาจมีอาการหอบอย่างต่อเนื่องเป็นชั่วโมง ๆ ถึงวัน ๆ แม้จะใช้ยารักษาตามปกติที่เคยใช้ ก็ไม่ได้ผล  เรียกว่า ภาวะหืดดื้อ หรือ หืดต่อเนื่อง  (status asthmaticus) ผู้ป่วยจะมีอาการหายใจลำบาก ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนและมีการคั่งของคาร์บอนไดออกไซด์ เกิดภาวะเลือดเป็นกรด มีอาการสับสน หมดสติ ในที่สุดหยุดหายใจ และหัวใจหยุดเต้น เสียชีวิตในเวลารวดเร็ว

อาการที่เข้าข่ายเป็นโรคหืด

ควรสงสัยว่าเป็นโรคหืด  ถ้าผู้ป่วยมีอาการข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีเสียงหายใจดังวี้ดคล้ายเสียงนกหวีดบ่อยครั้ง คือ มากกว่าเดือนละ 1 ครั้ง
    มีอาการไอ รู้สึกเหนื่อยง่าย หรือมีเสียงหายใจดังวี้ดขณะวิ่งเล่น  หรือออกกำลังกาย
    ไอตอนกลางคืน โดยที่ไม่ได้เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ
    มีอาการต่อเนื่องหลังอายุ 3 ปี
    อาการกำเริบหรือเป็นมากขึ้น เมื่อมีสิ่งเร้าหรือสาเหตุกระตุ้น เช่น ละอองเกสร  ขนสัตว์ สเปรย์ บุหรี่ ไรฝุ่นบ้าน ยา การติดเชื้อทางเดินหายใจ ออกกำลังกาย ความเครียด
    เวลาเป็นไข้หวัดมีอาการต่อเนื่องนานเกิน 10 วัน หรือมีอาการไอรุนแรง หรือไอนานกว่าคนอื่นที่เป็นไข้หวัด
    อาการดีขึ้นเมื่อใช้ยารักษาโรคหืด
    มีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคหืดหรือโรคภูมิแพ้อื่น ๆ เช่น หวัดภูมิแพ้ ผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้


ภาวะแทรกซ้อน

ที่พบได้ค่อยข้างบ่อย ได้แก่ ภาวะหมดแรง (exhaustion) ภาวะขาดน้ำ ปอดแฟบ (atelectasis) การติดเชื้อ (หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ)

ที่ร้ายแรง คือ ภาวะการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน ซึ่งพบในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต

ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจพบได้ เช่น ภาวะปอดทะลุ, ภาวะมีอากาศในประจันอกและใต้หนัง (mediastinal and subcutaneous emphysema), ภาวะหัวใจล้มเหลวดังที่เรียกว่า โรคหัวใจเหตุจากปอด (cor pulmonale), เป็นลมจากการไอ (tussive syncope), ภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นเรื้อรัง 

ในหญิงตั้งครรภ์ ถ้าเป็นโรคหืดที่ไม่สามารถควบคุมอาการได้ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ ทารกคลอดก่อนกำหนด ทารกน้ำหนักตัวน้อย ทารกตายระยะใกล้คลอดและหลังคลอด


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

การตรวจร่างกายขณะที่ไม่มีอาการ มักจะไม่พบสิ่งผิดปกติ

ขณะที่มีอาการหอบ มักได้ยินเสียงหายใจดังวี้ด ๆ ใช้เครื่องฟังตรวจปอดจะได้ยินเสียงหายใจออกยาวกว่าปกติและมีเสียงวี้ด (wheezing) กระจายทั่วไปที่ปอดทั้ง 2 ข้างในช่วงหายใจออก (ถ้าหอบมากจะได้ยินเสียงวี้ดทั้งในช่วงหายใจเข้าและออก) ชีพจรเต้นเร็ว มักไม่มีไข้ ถ้ามีไข้แสดงว่าอาจมีโรคติดเชื้อ เช่น ไข้หวัด หลอดลมอักเสบร่วมด้วย หรืออาจมีปอดอักเสบแทรกซ้อน

ในรายที่เป็นรุนแรงจะมีอาการหอบรุนแรง ซี่โครงบุ๋ม แอ่งไหปลาร้าบุ๋ม ตัวเขียว สับสน หมดสติ ใช้เครื่องฟังปอดอาจไม่ได้ยินเสียงวี้ด เนื่องจากมีภาวะอุดกั้นรุนแรงจนลมหายใจผ่านเข้าออกน้อย

ในรายที่เป็นโรคหืดเรื้อรังมานานอาจพบหน้าอกมีความหนา (ความยาวจากด้านหน้าถึงด้านหลัง) กว่าปกติที่เรียกว่า อกโอ่ง บางรายอาจพบหน้าอกโป่งเหมือนอกไก่

ในการประเมินความรุนแรงของโรค แพทย์จะทำการทดสอบสมรรถภาพของปอด (ดูค่า FEV1 และ PEF)*

กรณีที่ยังวินิจฉัยไม่ได้ชัดเจน แพทย์อาจทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การสูดสาร methacholine กระตุ้นให้หลอดลมตีบ (methacholine challenge), การกระตุ้นให้อาการกำเริบด้วยการออกกำลังกาย หรือการสูดอากาศเย็น (provocative testing for exercise and cold-induced asthma), การทดสอบภาวะภูมิแพ้ (allergy testing) โดยการตรวจเลือดหรือทดสอบผิวหนัง การตรวจหาปริมาณอีโอซิโนฟิล (eosinophil ซึ่งเป็นเม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง) ในเสมหะ, เอกซเรย์ปอด เป็นต้น

* FEV1 (forced expiratory in one second) หมายถึง ปริมาตรอากาศที่หายใจออกแรง ๆ ใน 1 วินาที โดยใช้เครื่องมือที่มีชื่อว่า เครื่องวัดปริมาตรอากาศหายใจ (spirometer)

PEF (peak expiratory flow) หมายถึง อัตราการไหลของลมหายใจออกสูงสุด หลังจากสูดหายใจเข้าเต็มที่ โดยใช้เครื่องมือที่มีชื่อว่า เครื่องวัดการไหลของลมหายใจออกสูงสุด (peak flow meter)


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. เมื่อมีอาการหอบหืดกำเริบฉับพลัน ให้ยาขยายหลอดลมชนิดสูด (เช่น ยากระตุ้นบีตา 2) ทันที เพื่อบรรเทาอาการ ถ้ายังไม่ทุเลา สามารถให้ซ้ำได้อีก 1-2 ครั้งทุก 20 นาที

หากผู้ป่วยรู้สึกหายดี แพทย์จะทำการประเมินอาการ สาเหตุกระตุ้น และประวัติการรักษาอย่างละเอียด

2. ในกรณีที่มีประวัติเป็นโรคหืดและมียารักษาอยู่ประจำ ถ้าผู้ป่วยมีอาการตอนกลางวันไม่เกิน 2 ครั้ง/สัปดาห์ สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้เป็นปกติ  และไม่มีอาการตอนกลางคืน  ก็ให้การรักษาแบบกลุ่มที่ควบคุมโรคได้ (ดูตาราง "การแบ่งระดับของการควบคุมโรค") โดยให้ใช้ยาที่เคยใช้อยู่เดิมต่อไป

3. ในกรณีที่ผู้ป่วยเพิ่งมีอาการครั้งแรกและไม่เคยได้รับยารักษามาก่อน แพทย์จะให้ยารักษา (ส่วนใหญ่ใช้ยาชนิดสูดพ่นเป็นพื้นฐาน บางรายอาจให้ยาชนิดกินร่วมด้วย) ด้วยชนิดและขนาดมากน้อยตามระดับความรุนแรงของโรค นอกจากนี้แพทย์จะทำการตรวจสมรรถภาพของปอด  ให้สุขศึกษาและคำแนะนำในการปฏิบัติตัวต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการใช้ยาที่ถูกต้อง และการหลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้น

4. แพทย์จะติดตามผู้ป่วยทุก 1-3 เดือน เพื่อประเมินอาการและปรับเปลี่ยนการรักษาที่เหมาะสมตามอาการในแต่ละช่วง

5. แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล ถ้าผู้ป่วยมีอาการกำเริบและมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

    ไม่ตอบสนองต่อการรักษาข้างต้นภายใน 1-2 ชั่วโมง มีอาการหอบต่อเนื่องมานานหลายชั่วโมง หรือมีภาวะขาดน้ำร่วมด้วย
    มีอาการหอบรุนแรง ซี่โครงบุ๋ม ปากเขียว มีอาการสับสน ซึม หรือพูดไม่เป็นประโยค
    มีประวัติเคยเป็นโรคหืดรุนแรง เคยรับการรักษาในห้องอภิบาลผู้ป่วย (ไอซียู) เนื่องจากโรคหืดมาก่อน กำลังกินหรือเพิ่งหยุดกินยาสเตียรอยด์ หรือใช้ยาบีตา 2 ออกฤทธิ์สั้นสูดบ่อยกว่าทุก 3-4 ชั่วโมง
    มีอาการหอบเหนื่อยที่สงสัยว่าเกิดจากสาเหตุร้ายแรงอื่น ๆ เช่น เช่น มีไข้และใช้เครื่องฟังตรวจปอดมีเสียงกรอบแกรบ (crepitation) หรือสงสัยว่าเป็นปอดอักเสบ หรือหลอดลมฝอยอักเสบ, มีอาการเท้าบวม หลอดเลือดคอโป่ง ความดันโลหิตสูง หรือสงสัยมีภาวะหัวใจวาย, มีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง มีประวัติเป็นโรคหัวใจ หรือสงสัยเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย เป็นต้น ในกรณีนี้ แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์ปอด ตรวจสมรรถภาพของปอด ตรวจเลือด ตรวจเสมหะ ตรวจคลื่นหัวใจ เป็นต้น

6. ในรายที่วินิจฉัยว่าเป็นโรคหืดกำเริบรุนแรง หรือภาวะหืดต่อเนื่อง มีแนวทางในการรักษาดังนี้

    ให้ออกซิเจน และสารน้ำ (น้ำเกลือ)
    ให้ยาขยายหลอดลม ออกฤทธิ์สั้น ชนิดสูด
    ให้สเตียรอยด์ชนิดสูดในขนาดสูงกว่าเดิม
    ในรายที่มีอาการรุนแรงปานกลางและมากให้สเตียรอยด์ชนิดฉีดหรือกิน
    เมื่ออาการดีขึ้น (มักได้ผลภายใน 36-48 ชั่วโมง) ก็ให้กินต่อจนครบ 5 วัน
    ในรายที่หอบรุนแรงจนเกิดภาวะทางเดินหายใจล้มเหลว อาจต้องใส่ท่อหายใจและเครื่องช่วยหายใจและแก้ไขภาวะผิดปกติต่าง ๆ พร้อมกัน

เมื่อควบคุมอาการได้แล้ว แพทย์จะนัดติดตามดูอาการภายใน 2-4 สัปดาห์

7. ผู้ป่วยที่เป็นโรคหืดทุกราย แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาระยะยาวเพื่อควบคุมอาการให้น้อยลง ป้องกันอาการกำเริบรุนแรงเฉียบพลัน ฟื้นฟูสมรรถภาพของปอดให้กลับคืนสู่ปกติ ป้องกันภาวะแทรกซ้อน ป้องกันการเกิดภาวะทางเดินหายใจอุดกั้นอย่างถาวร โดยมีแนวทางการดูแลรักษาดังนี้

(1) ประเมินความรุนแรงของโรค โดยพิจารณาจากอาการแสดง (ความถี่ของอาการกำเริบตอนกลางวัน และตอนกลางคืน) ร่วมกับการตรวจสมรรถภาพของปอด (ดูค่า FEV1 และ PEF)*

(2) ให้ยารักษาโรคหืด ซึ่งมีอยู่ 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มยาบรรเทาอาการ ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ขยายหลอดลม (เช่น ยากระตุ้นบีตา 2) และกลุ่มยาควบคุมโรค ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยลดการอักเสบและการบวมของผนังหลอดลม (เช่น ยาสเตียรอยด์) แพทย์จะเลือกใช้ชนิดและขนาดของยาตามระดับของการควบคุมโรค ดังนี้

    กลุ่มควบคุมได้ ให้การรักษาตามขั้นตอนเดิมต่อไปอย่างน้อย 3 เดือน แล้วค่อย ๆ ปรับลดยาลงทีละน้อย จนกว่าจะใช้การรักษาขั้นที่ต่ำสุดที่ยังสามารถควบคุมอาการได้
    กลุ่มควบคุมได้บางส่วน และกลุ่มควบคุมไม่ได้ แพทย์จะปรับเพิ่มขั้นตอนการรักษาจนกว่าจะสามารถควบคุมอาการได้ภายใน 1 เดือน โดยก่อนปรับยา จะทบทวนว่าผู้ป่วยมีการใช้ยาตามสั่ง และใช้ถูกวิธีหรือไม่ รวมทั้งได้หลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้นหรือไม่ และแก้ไขให้ถูกต้องเสียก่อน

หลังจากควบคุมอาการได้แล้ว จะติดตามผลการรักษาต่อไปทุก 1-3 เดือน และปรับขั้นตอนการรักษาให้เหมาะกับระดับของการควบคุมโรค ซึ่งสามารถแปรเปลี่ยน (ดีขึ้นหรือเลวลง) ไปได้เรื่อย ๆ

ในเด็กที่มีสาเหตุจากสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้และอาการไม่ดีขึ้นหลังการใช้ยาหรือไม่สามารถทนต่อผลข้างเคียงของยา แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาด้วย การขจัดภูมิไว (desensitization)**

(3) ให้การรักษาโรคที่พบร่วม เช่น หวัดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ทอนซิลอักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ โรคกรดไหลย้อน เป็นต้น

(4) แนะนำให้หลีกเลี่ยงสิ่งเร้าหรือสาเหตุกระตุ้นและการปฏิบัติตัวต่าง ๆ (อ่านเพิ่มเติมที่หัวข้อ "การป้องกัน" ด้านล่าง)

(5) ติดตามผลการรักษาผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องและทำการตรวจสมรรถภาพของปอดเป็นระยะ ในรายที่เป็นโรคหืดรุนแรงหรือมีอาการกำเริบบ่อย  แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยใช้เครื่องวัดการไหลของลมหายใจออกสูงสุด (peak flow meter)  ไปตรวจเองที่บ้านทุกวัน เพื่อตรวจภาวะหลอดลมตีบซึ่งจะพบก่อนมีอาการแสดงนานเป็นชั่วโมงถึงเป็นวัน ผู้ป่วยจะได้รีบใช้ยารักษาหรือไปพบแพทย์ปรับยาให้เหมาะสม  นอกจากนี้แพทย์ยังแนะนำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ปีละครั้ง

ผลการรักษา  ส่วนใหญ่สามารถควบคุมอาการได้ดี

ถ้ามีอาการเริ่มเป็นตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อโตขึ้นหรือย่างเข้าวัยหนุ่มสาว อาการอาจทุเลาจนสามารถหยุดการใช้ยาสูดบรรเทาอาการได้ แต่บางรายเมื่ออายุมากขึ้นก็อาจมีอาการกำเริบได้อีก

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจมีการอักเสบของหลอดลมอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ไม่มีอาการหอบเหนื่อยแล้ว หากขาดการให้ยาควบคุมโรค (ลดการอักเสบ) ก็อาจเกิดภาวะทางเดินหายใจผิดปกติและอุดกั้นในระยะยาวได้ ดังนั้น ถึงแม้จะมีอาการทุเลาแล้วก็ควรติดตามรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง

ส่วนในรายที่มีอาการมาก จำเป็นต้องได้รับยาอย่างเพียงพอ หากขาดยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยาสเตียรอยด์มาก่อน ก็อาจมีอาการกำเริบรุนแรงเฉียบพลัน ถึงขั้นกลายเป็นภาวะหืดดื้อ เป็นอันตรายได้

ปัจจุบันพบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องจะมีอัตราตายต่ำ

* FEV1 (forced expiratory in one second) หมายถึง ปริมาตรอากาศที่หายใจออกแรง ๆ ใน 1 วินาที โดยใช้เครื่องมือที่มีชื่อว่า เครื่องวัดปริมาตรอากาศหายใจ (spirometer)

PEF (peak expiratory flow) หมายถึง อัตราการไหลของลมหายใจออกสูงสุด หลังจากสูดหายใจเข้าเต็มที่ โดยใช้เครื่องมือที่มีชื่อว่า เครื่องวัดการไหลของลมหายใจออกสูงสุด (peak flow meter)

** บางครั้งก็เรียกว่า อิมมูนบำบัด (immunotherapy) โดยการฉีดยาทดสอบว่าแพ้สารอะไร  แล้วฉีดสารนั้นทีละน้อย ๆ แต่บ่อย ๆ เพื่อลดการแพ้ วิธีนี้ใช้ได้ผลดีในเด็ก  ส่วนในผู้ใหญ่ได้ผลไม่สู้ดี  ข้อเสียคือ  ต้องใช้เวลารักษานาน  ราคาแพง  และอาจมีอาการแพ้ที่รุนแรงถึงขั้นเกิดภาวะช็อกจากการแพ้ (anaphylactic shock) หรือโรคหืดกำเริบรุนแรงได้ จำเป็นต้องฉีดในที่ ๆ มีความพร้อมในการช่วยเหลือถ้าเกิดการแพ้  โดยหลังฉีดสารบำบัดแต่ละครั้งควรเฝ้าสังเกตดูอาการอย่างน้อย 30 นาที

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการแน่นอึดอัดในหน้าอก หรือหอบเหนื่อยร่วมกับมีเสียงดังวี้ด ๆ คล้ายเสียงนกหวีด หรือผู้ที่มีประวัติใช้ยารักษาโรคหืดอยู่เป็นประจำ มีอาการหอบหืดกำเริบทั้งที่ได้ใช้ยาตามที่แพทย์แนะนำ ควรรีบไปพบแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคหืด ควรดูแลตนเองดังนี้

1. ปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำ ดังนี้

    ติดตามรักษากับแพทย์เป็นประจำ ตรวจสมรรถภาพของปอดเป็นระยะ ใช้เครื่องวัดการไหลของลมหายใจออกสูงสุด (peak flow meter) ตรวจเองที่บ้านทุกวัน (สำหรับผู้ที่แพทย์แนะนำ) เรียนรู้วิธีใช้ยาให้ถูกต้อง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีสูดพ่นยา หากทำไม่ถูก การรักษาก็จะไม่ได้ผล) และใช้ยาตามขนาดที่แพทย์แนะนำ
    พกยาบรรเทาอาการติดตัวเป็นประจำ หากมีอาการกำเริบ ให้รีบสูดยา 2-4 หน (puff) ทันที ถ้าไม่ทุเลาอาจสูดซ้ำทุก 20 นาที อีก 1-2 ครั้ง ถ้ายังไม่ทุเลาควรไปพบแพทย์โดยเร็ว อย่าปล่อยให้หอบนานอาจเป็นอันตรายได้
    ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ อย่าให้ขาดน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่ไอมีเสมหะเหนียว หรือมีอาการหอบเหนื่อย
    ทุกครั้งที่สูดยาสเตียรอยด์ ควรบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ยาตกค้างที่คอหอย ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเชื้อราในช่องปาก (ดู "โรคเชื้อราในช่องปาก มุมปากเปื่อยจากเชื้อรา" เพิ่มเติม)
    อย่าซื้อยาชุดหรือยาลูกกลอนมาใช้เอง เพราะยาเหล่านี้มักมีสเตียรอยด์ผสม แม้ว่าอาจจะใช้ได้ผล แต่ต้องใช้เป็นประจำ ซึ่งทำให้มีผลข้างเคียงร้ายแรงตามมาได้  อย่างไรก็ตาม ถ้าเคยใช้ยาเหล่านี้มานาน ห้ามหยุดยาทันที อาจทำให้มีอาการหอบกำเริบรุนแรงหรือเกิดภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ (ดู "โรคช็อก" เพิ่มเติม) ได้ ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อหาทางค่อย ๆ ปรับลดยาลง
    ฝึกหายใจเข้าออกลึก ๆ (โดยการเป่าลมออกทางปาก ให้ลมในปอดออกให้มากที่สุด) เป็นประจำ จะทำให้รู้สึกปลอดโปร่งสดชื่น อาจช่วยให้อาการดีขึ้นได้
    ลดน้ำหนัก ถ้ามีน้ำหนักเกิน

2. ถึงแม้อาการทุเลาแล้ว ก็ห้ามหยุดยา หรือปรับลดยาเองตามอำเภอใจ จนกว่าแพทย์จะสั่งปรับยาให้ มิเช่นนั้น อาจทำให้โรคกำเริบรุนแรง เป็นอันตรายได้

3. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้และสิ่งระคายเคือง กระตุ้นให้โรคกำเริบ (อ่านเพิ่มที่หัวข้อ "การป้องกัน" ข้อที่ 1 หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้และสิ่งระคายเคือง)

4. หากมีอาการไม่สบาย ไม่ว่าจะเป็นอะไร ควรปรึกษาแพทย์และใช้ยาที่แพทย์แนะนำเท่านั้น ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง เพราะอาจทำให้โรคหืดกำเริบ หรือเป็นอันตรายได้

5. ผู้ที่มีอาการกรดไหลย้อน ซึ่งอาจกระตุ้นโรคหืดกำเริบได้ ควรกินยารักษาและปฏิบัติตัวในการป้องกันไม่ให้เกิดอาการกรดไหลย้อน

6. หมั่นดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ด้วยการออกกำลังกายที่เหมาะสม บำรุงอาหารสุขภาพ รู้จักผ่อนคลายความเครียด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

7. ควรไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้สูง หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
    มีอาการหอบหืดกำเริบ 
    เจ็บแน่นหน้าอก 
    ไอมีเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว
    มีอาการไม่สบายที่จำเป็นต้องใช้ยารักษา ห้ามซื้อยามาใช้เอง เพราะมียาหลายชนิดที่ทำให้หอบหืดกำเริบได้
    ขาดยารักษาโรคหืด เช่น ยาหาย ยาหมดก่อนวันนัด
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

สำหรับผู้ป่วยโรคหืด อาจป้องกันไม่ให้มีอาการหอบหืดกำเริบโดยการปฏิบัติดังนี้

1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้และสิ่งระคายเคือง ทั้งในบ้าน ที่ทำงาน และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสาเหตุกระตุ้นให้อาการกำเริบ (โดยสังเกตว่า มักมีอาการกำเริบในเวลาใด สถานที่ใด และหลังสัมผัสถูกอะไร) ดังนี้

    กำจัดไรฝุ่นบ้าน โดยการหลีกเลี่ยงการใช้ที่นอน หมอน ผ้าห่ม เฟอร์นิเจอร์ และของเล่นที่ทำด้วยนุ่น หรือเป็นขน ๆ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรห่อหุ้มด้วยวัสดุกันไรฝุ่น หรือใช้วัสดุที่สามารถป้องกันไรฝุ่น (เช่น ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ผ้าม่านที่ไม่สะสมไรฝุ่น), ซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งด้วยน้ำอุ่น (มากกว่า 55 องศาเซลเซียส), ไม่ควรปูพรมตามพื้นห้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในห้องนอน ถ้ายังปูพรมควรใช้เสื่อน้ำมันปูทับให้ทั่ว ให้ขอบชิดผนังห้องทุกด้าน
    หลีกเลี่ยงการเล่นคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยง (เช่น สุนัข แมว หนู นก) ถ้าเลี้ยงสัตว์เลี้ยงควรให้อยู่นอกบ้าน อย่านำเข้ามาในบ้านและห้องนอน และควรจับอาบน้ำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
    กำจัดแมลงสาบในบ้านโดยใช้กับดัก ถ้าใช้ยาฉีดพ่น อย่าให้ผู้ป่วยอยู่ในบ้าน เพราะยาฉีดพ่นอาจกระตุ้นให้หอบได้  ควรเก็บเศษอาหารไว้ในถุงที่มิดชิดอย่าให้แมลงสาบตอม
    หลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อรา โดยการทำความสะอาดห้องน้ำ  ห้องครัว อย่าให้มีน้ำขัง  ใช้พัดลมดูดอากาศ  และทำให้มีการถ่ายเทอากาศได้ดี  หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่อับชื้น (เช่น ห้องใต้ดิน) และพุ่มไม้  ไม่ปลูกต้นไม้ภายในบ้าน ไม่ใช้วอลเปเปอร์และพรมในห้องน้ำ
    ช่วงที่มีละอองเกสรมาก หรือตัดหญ้า ควรหลบเข้ามาอยู่ในบ้าน และปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด  ควรใช้เครื่องปรับอากาศ และล้างไส้กรองเดือนละครั้ง
    ถ้าจำเป็นต้องออกนอกบ้าน ควรให้ผู้ป่วยกินยาแก้แพ้ก่อนออกนอกบ้าน และหลังจากกลับเข้าบ้านควรอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที  อย่าตากเสื้อผ้าในที่กลางแจ้ง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การสูดควันบุหรี่ และควันต่าง ๆ  ควรห้ามบุคคลในบ้านสูบบุหรี่ ห้ามใช้ฟืนในการหุงต้มและผิงไฟ
    หลีกเลี่ยงการดมกลิ่นสี น้ำหอม สเปรย์ กาว น้ำยาฆ่าเชื้อ สารเคมี เป็นต้น
    หลีกเลี่ยงการสัมผัสฝุ่นและสารเคมีในโรงงานหรือที่ทำงาน โดยจัดสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัย และใช้อุปกรณ์ป้องกัน แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้และทำให้หอบบ่อย ควรย้ายสถานที่ทำงานหรือเปลี่ยนงานที่ไม่ต้องสัมผัสกับสาเหตุกระตุ้น
    หมั่นล้างมือบ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังจากหยิบจับสิ่งที่สะสมของไรฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้ (เช่น ละอองเกสร ขนสัตว์)
    หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ และยาลดความดันกลุ่มปิดกั้นบีตา เวลาพบแพทย์ด้วยโรคอื่น ควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่าเป็นโรคหืดอยู่ เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงการใช้ยาเหล่านี้

14
จัดฟันบางนา: ใส่เครื่องมือการจัดฟันแบบใส เฉพาะแค่ตอนนอนได้หรือไม่
 
การจัดฟันแบบใส ถือว่าเป็นการจัดฟันรูปแบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพมาก เพราะทันตแพทย์จะใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการรักษาทำให้มีผลการรักษาที่แม่นยำ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาในเรื่องของรูปร่างของฟัน ลักษณะการขึ้นของฟันที่เกิดจากความผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรม หรือแม้กระทั่งพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่อาจจะส่งผลต่อรูปร่างฟันได้ การจัดฟันแบบใส ถือว่าได้รับความนิยมในหมู่ดารา นักแสดง หรือคนทำงานที่ต้องใช้บุคลิกภาพ ที่ต้องใช้หน้าตา การจัดฟันแบบใส จึงสามารถตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม การจัดฟันแบบใส ก็มีข้อจำกัดด้วยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในเรื่องของการสวมใส่เครื่องมือการจัดฟัน

การจัดฟันแบบใส ต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้เข้ารับการจัดฟันด้วย เพื่อให้ผลการรักษาเป็นไปตามที่ทันตแพทย์วางไว้ เพราะถ้าหากผู้เข้ารับการจัดฟันไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์ก็อาจจะทำให้ผลการรักษาเกิดการคลาดเคลื่อนได้ ในการสวมใส่เครื่องมือนั้น มีความจำเป็นมากสำหรับการจัดฟัน เพราะตังเครื่องมือการจัดฟันจะทำหน้าที่เป็นตัวช่วยทำให้ฟันของเราเคลื่อนไปยังตำแหน่งที่เหมาะสม หรือตำแหน่งที่ทันตแพทย์ได้วางแผนไว้ เพื่อให้ผลการรักษาเป็นที่น่าพึงพอใจ และสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างแท้จริง สำหรับคนที่กำลังเข้ารับการจัดฟันแบบใส หรือคนที่กำลังจะเข้ารับการจัดฟันแบบใส มีข้อสงสัยว่า  เราสามารถที่จะสวมใส่เครื่องมือเฉพาะตอนกลางคืนหรือเวลาที่เรานอนหลับได้หรือไม่
 
ซึ่งวันนี้ของเรามีคำตอบมาฝากกัน ก่อนอื่นเราจะมาทำความเข้าใจในเรื่องของการทำงานของเครื่องมือการจัดฟันแบบใสกันก่อน ในการใช้เครื่องมือจัดฟันแบบใส อาจไม่ง่ายเหมือนที่คิด หลายคนคิดว่า เครื่องมือการจัดฟันแบบใสสามารถถอดเข้าออกได้สะดวก สบาย  ทำให้เกิดความละเลยในการสวมใส่เครื่องมือ บางคนคิดว่า ค่อยใส่เครื่องมือตอนกลางคืนหรือตอนที่นอนหลับก็ได้ ไม่น่าจะมีผลอะไร แต่ต้องบอกเลยว่า การใช้เครื่องมือการจัดฟันแบบใสนั้น  จะต้องอาศัยความร่วมมือของผู้เข้ารับการจัดฟันด้วย

การที่เครื่องมือแบบใส สามารถถอดเข้าออกได้นั้น สำหรับบางคน ก็อาจกลายเป็นข้อเสียได้เหมือนกัน เนื่องจากผู้เข้ารับการจัดฟันแบบใสจะจำเป็นต้องใส่เครื่องมือแบบใส ไม่ต่ำกว่าวันละ 20-22 ชั่วโมง เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีและมีประสิทธิภาพ สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง ดังนั้น คำถามที่ว่า สวมใส่เครื่องมือการจัดฟันเฉพาะตอนกลางคืนหรือเวลานอนหลับได้ไหม

ตอบเลยว่า ไม่ได้ เนื่องจากช่วงเวลาเฉพาะตอนนอนจะสั้นไปที่จะทำให้เกิดการเคลื่อนฟัน ตามคำแนะนำทันตแพทย์ เพราะเครื่องมือการจัดฟันแบบใส จะทำงานเฉพาะขณะผู้เข้ารับการจัดฟันสวมใส่เครื่องมืออยู่เท่านั้น จึงแนะนำให้ใส่เครื่องมือการจัดฟันไว้ตลอดเวลาทั้งกลางวัน และกลางคืน ยกเว้นขณะรับประทานอาหาร แปรงฟัน และใช้ไหมขัดฟันเท่านั้น  นี่ถือว่าเป็นข้อปฏิบัติที่มีความสำคัญและเป็นปัจจัยสำคัญของการเข้ารับการจัดฟันแบบใส เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่มีมาตรฐาน ตามหลักสากล และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน

หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาด้วยการจัดฟันแบบใส รวมไปถึงการรักษาทางทันตกรรมรูปแบบอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยการฝังรากฟันเทียม การจัดฟันในเด็ก ซึ่งทางเรามีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมาอย่างยาวนาน แต่สำหรับการจัดฟันแบบใส

ทางคลินิกของเราได้รับการรับรองจาก Invisalign ให้สามารถให้บริการจัดฟันแบบใสได้อย่างมีมาตรฐานสากล
ทำให้มีความน่าเชื่อถือ มีความปลอดภัยแก่ผู้เข้ารับการรักษา ทำให้ผู้เข้ารับการรักษามั่นใจได้ว่า คุณจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี มีฟันที่เรียงตัวกันสวยงามได้อย่างแน่นอน เพราะคลินิกเรา อยากให้ทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง ปราศจากปัญหาที่คอยกวนใจ เพื่อที่จะได้ทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างสบาย โดยไม่ต้องกังวลในเรื่องของปัญหาฟัน

15
หมอประจำบ้าน: มะเร็งตับอ่อน (Pancreatic cancer)

มะเร็งตับอ่อน พบได้ไม่บ่อยนัก พบได้ประมาณร้อยละ 1 ของมะเร็งทางเดินอาหาร พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 1.5 เท่า มักพบในคนอายุ 40 ปีขึ้นไป และพบได้มากยิ่งขึ้นในคนอายุ 60 ปีขึ้นไป

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งชนิดนี้ ได้แก่

    การสูบบุหรี่
    ภาวะอ้วน หรือเบาหวาน
    ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง หรือตับแข็ง (ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการดื่มสุราจัด)
    การบริโภคไขมันสัตว์มาก และกินผักผลไม้น้อย
    การสัมผัสสารเคมี (เช่น น้ำมันเบนซิน สารกำจัดศัตรูพืช สีย้อมบางชนิด ผลิตภัณฑ์จากน้ำมันปิโตรเลียม)
    การมีประวัติโรคนี้ หรือมะเร็งชนิดอื่น (เช่น มะเร็งเต้านม รังไข่ มดลูก กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ ไต) ในครอบครัว ซึ่งสามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์

อาการ

ระยะแรกมักไม่มีอาการแสดง จนกว่ามะเร็งลุกลามมากแล้วก็จะมีอาการปวดท้องส่วนบนและปวดร้าวไปที่หลัง ซึ่งมักปวดเวลาหลังอาหารหรือนอนลง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด มีอาการแบบอาหารไม่ย่อย ตาเหลืองตัวเหลือง อุจจาระสีซีดขาว (เนื่องจากก้อนมะเร็งอุดกั้นทางเดินน้ำดี) คันตามผิวหนัง อาจคลำได้ก้อนในท้อง ตับโต คลื่นไส้ อาเจียน (เนื่องจากลำไส้อุดกั้นจากก้อนมะเร็ง) ท้องเดินเรื้อรัง (เนื่องจากผลิตเอนไซม์ย่อยอาหารได้น้อย ทำให้การดูดซึมผิดปกติ) หรือมีอาการที่เกิดจากมะเร็งแพร่กระจายไปยังที่อื่น


ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้มีอาการเจ็บปวด น้ำหนักลดมาก

เมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้นลุกลามไปที่อวัยวะข้างเคียง ทำให้เกิดภาวะอุดกั้นของท่อน้ำดี (มีอาการตาเหลืองตัวเหลือง อุจจาระสีซีดขาว) ทางเดินอาหารอุดกั้น (ปวดท้อง อาเจียน) มีเลือดออกในลำไส้ (ทำให้ถ่ายอุจจาระดำ โลหิตจาง) เข้าในช่องท้อง (ทำให้ปวดท้อง ท้องมาน) และในระยะท้ายมักแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปที่ปอด (เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก), ตับ (เจ็บชายโครงขวา ตาเหลืองตัวเหลือง ท้องมาน), กระดูก (ปวดกระดูก กระดูกพรุน กระดูกหัก ปวดหลัง ไขสันหลังถูกกดทับ) และอาจไปที่สมอง (ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก เวียนศีรษะ บ้านหมุน เดินเซ แขนขาชาและเป็นอัมพาต ชัก)

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยโดยการตรวจอัลตราซาวนด์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การส่องกล้องและฉีดสีเข้าไปในท่อน้ำดี (endoscopic retrograde cholangiopancreatography/ERCP)

อาจทำการตรวจหาระดับสารบ่งชี้มะเร็ง (tumor marker) ได้แก่ สารCA 19-9 ซึ่งมีส่วนช่วยในการวินิจฉัยและการติดตามผลการรักษา

โดยทั่วไปแพทย์จะตรวจชิ้นเนื้อเวลาทำการรักษาด้วยการผ่าตัด

หากจำเป็นแพทย์อาจทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดก่อนให้การรักษา ด้วยการตรวจชิ้นเนื้อโดยการใช้เข็มเจาะดูด (fine-needle aspiration) หรือใช้กล้องส่องเข้าช่องท้อง และตัดชิ้นเนื้อนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  หากพบว่าเป็นมะเร็งก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ (เช่น เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า-MRI, การตรวจเพทสแกน-PET scan เป็นต้น) เพื่อประเมินว่าเป็นมะเร็งระยะใด


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัด หรือให้รังสีบำบัดและเคมีบำบัดในรายที่ผ่าตัดไม่ได้

ผลการรักษาไม่สู้ดี มักอยู่ได้ไม่นาน (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีต่ำกว่าร้อยละ 10) ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อมีอาการมาพบแพทย์ก็มักจะพบว่าเป็นมะเร็งระยะท้าย ๆ แล้ว

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดท้องส่วนบนและปวดร้าวไปที่หลัง, มีอาการแบบอาหารไม่ย่อยเรื้อรัง, ตาเหลืองตัวเหลืองและอุจจาระสีซีดขาว, น้ำหนักลด เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งตับอ่อน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันอย่างได้ผล อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับอ่อน ดังนี้

    ไม่สูบบุหรี่
    หลีกเลี่ยงการดื่มสุราจัด เพื่อลดการเป็นโรคตับแข็งและตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง (โรคสองชนิดนี้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับอ่อน)
    ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
    กินอาหารที่มีไขมันสัตว์ต่ำ และกินผักและผลไม้ให้มาก ๆ

ข้อแนะนำ

1. ผู้ที่มีอาการปวดท้อง ปวดหลังเรื้อรัง หรือน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด

2. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

หน้า: [1] 2 3 ... 61
ลงประกาศฟรี โฆษณาฟรี ลงประกาศขายบ้านฟรี ลงประกาศขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ขายรถ สินค้าอุตสาหกรรม อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว โปรโมทสินค้าฟรี เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google